การวัดความดันโลหิต
เป็นที่ทราบกันทั่วไป ภาวะความดันโลหิตสูง ทำให้เกิดโรคอันตรายร้ายแรง เช่น เส้นโลหิตในสมองแตก ทำให้เป็นอัมพาต โรคหัวใจขาดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง เป็นต้น
ภาวะความดันโลหิตสูงมักจะไม่มีอาการ จนกว่าจะมีโรคแทรกซ้อนร้ายแรงเกิดขึ้นแล้วจึงจะปรากฏอาการ เพราะฉะนั้นปัญหาที่สำคัญในการควบคุมโรคความดันโลหิตสูง คือ การทำให้ประชากรกลุ่มที่มีความดันโลหิตสูง ทราบว่าตนเองมีความดันโลหิตสูง จากสถิติพบว่า ในประเทศไทย ประชากรที่มีความดันโลหิตสูง ทราบว่าตนเองมีความดันโลหิตสูง เฉลี่ยเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น
ความดันโลหิต จะประกอบด้วย ความดันตัวบน เรียกว่า ความดันซิสโตลิค (Systolic Pressure) และความดันตัวล่าง เรียกว่า ความดันไดแอสโตลิค (Diastolic Pressure) ซึ่งค่าปกติจะไม่เกิน 140/90 มิลลิเมตรปรอท ถ้าความดันโลหิตสูงกว่านี้ ถือว่ามี “ความดันโลหิตสูง”
ตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลกได้กำหนดเกณฑ์การวินิจฉัยความดันโลหิตสูงไว้ว่า
“ความดันโลหิตสูง” คือ สภาวะที่ค่าของความดันเลือดที่วัดอย่างถูกต้อง และมีการตรวจวัดหลายๆ ครั้ง ในต่างวาระกันแล้ว พบว่ามีระดับของความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มม.ปรอท
เราแบ่งระดับความรุนแรง ของภาวะความดันโลหิตสูงไว้ ดังนี้
หมายเหตุ : ถ้าหากระดับ sBP และ dBP อยู่ในระดับความรุนแรงต่างกัน ให้ถือระดับที่สูงกว่าเป็นเกณฑ์
ผู้รับการตรวจวัดความดันโลหิต ควรละเว้นสิ่งต่อไปนี้ ก่อนวัดความดันโลหิต ประมาณ 1 ชั่วโมง ได้แก่
1. การออกกำลังกาย
2. การดื่มกาแฟ สุรา หรือเครื่องดื่มผสม คาเฟอีน
3. การสูบบุหรี่
4. ควรนั่งพักประมาณ 5 นาที และถ้าพบว่า มีความดันโลหิตสูง ควรตรวจวัดซ้ำอีก 2-3 ครั้ง
ส่วน ผู้ที่ยืนยันการวินิจฉัยว่า มีความดันโลหิตสูง ควรปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เพื่อลดระดับความดันโลหิตลง ดังนี้
1. ลดน้ำหนัก ถ้ามีน้ำหนักเกิน
2. จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
3. เพิ่มการออกกำลังกาย ชนิดแอโรบิค (30-45 นาที/วัน)
4. จำกัดปริมาณโซเดียม (งดรับประทานเค็มให้มากที่สุด)
5. ได้รับโปแตสเซียมอย่างเพียงพอ เช่น รับประทานผลไม้มากขึ้น
6. หยุดการสูบบุหรี่
7. ลดการรับประทานไขมัน และโคเลสเตอรอล
จากการศึกษา การรับประทานอาหารที่เน้น ผัก ผลไม้ และนมไขมันต่ำ ลดเค็ม ร่วมกับลดปริมาณไขมัน สามารถลดความดันโลหิตลงได้ประมาณ 8-14 มม.ปรอท
การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ดังกล่าวจะให้ประโยชน์ทั้งในด้านการลดความดันโลหิต และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ จึงถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น ถึงแม้ผู้ป่วยจะได้รับยาลดความดันโลหิตแล้วก็ตาม
เมื่อปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตแล้ว 3-6 เดือน ยังไม่สามารถลดความดันโลหิตได้ดีพอ ควรใช้ยารักษาลดความดันโลหิต ตามคำแนะนำของแพทย์
โดย นพ. วิชัย จตุรพิตร ผู้อำนวยการ ศูนย์แพทย์อาชีวะเวชศาสตร์กรุงเทพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น