วีณา อายุ 45 ปี เธอเป็นคนอ้วนที่มีน้ำหนักตัวถึง 70 กิโลกรัม
แต่เนื่องจากเธอไม่มีภาระมาก จึงมีเวลาไปออกกำลังกายกับแม่บ้านคนอื่น ๆ
กีฬาที่เธอโปรดปรานคือการว่ายน้ำ
หลังจากว่ายน้ำเสร็จเธอก็มักจะไปรับประทานอาหารกลางวันกับเพื่อน ๆ
โดยสั่งอาหารตามใจชอบ
ทำให้น้ำหนักของเธอไม่ลดลงเลยแม้จะว่ายน้ำเป็นประจำสม่ำเสมอก็ตาม แต่อยู่ ๆ
ก็มีอาการผิดปกติของรอบเดือน เธอมีประจำเดือนติดต่อกันยาวนานกว่า 10 วัน
และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เธอจึงไม่สามารถไปว่ายน้ำได้
จนเวลาผ่านไปครึ่งปี วีณาพบว่าประจำเดือนของเธอมาเร็วกว่าปกติถึง 2
สัปดาห์ และครั้งนี้มาแค่ 2 วันเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลก
ทำไมเธอถึงมีความผิดปกติของประจำเดือนเกิดขึ้นนานถึง 3 เดือน
เมื่อเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง
ทุกคนต่างบอกเธอว่าเป็นอาการของช่วงประจำเดือนหมดในสตรีที่อายุระหว่าง
45-50 ปี ที่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
หารู้ไม่ว่านั่นเป็นอาการของโรคร้ายที่กำลังมาเยือน
หลังจากอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นครั้งนั้น ผ่านไปประมาณ 1 ปี
พบว่ามีก้อนแข็งเกิดขึ้นที่หน้าอกด้านขวาของเธอ
ทันทีเธอนึกไปถึงมะเร็งเต้านม
จึงรีบไปตรวจที่โรงพยาบาลและได้ทราบว่าเป็นก้อนมะเร็งจริง ๆ
แต่ยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
ทว่าซ้ำร้ายหลังจากตรวจอย่างละเอียดกลับพบว่าเธอเป็นโรคมะเร็งมดลูกด้วย
เพราะเหตุใดเธอถึงป่วยเป็นมะเร็งพร้อมกันถึง 2 ที่
แล้วจะทำการรักษาอย่างไรต่อไป
กลุ่มเสี่ยง
ผู้หญิงที่มีปัญหาประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือมามากเกินไป บางครั้งหายไป
หรือมาบ้าง ไม่มาบ้าง เกิดกับผู้หญิงที่อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 35-80 ปี
และอายุมากกว่า 50 ปี
อาการที่พึงระวัง
มีประจำเดือนนานกว่าปกติ ทั้ง ๆ
ที่ไม่ใช่ช่วงประจำเดือนแต่ก็มีเลือดไหลออกมา
หรือมีอาการผิดปกติในช่วงหมดประจำเดือนและเข้าใจว่าเป็นอาการปกติของวัยหมด
ประจำเดือน หากมีอาการผิดปกติดังกล่าว อย่านิ่งนอนใจ
ควรรีบไปตรวจเพื่อหาสาเหตุก่อนที่จะสายไป
ลักษณะของโรค
โรคมะเร็งมดลูก
เกิดจากการที่มีเนื้อร้ายไปเจริญเติบโตบริเวณด้านหลังของมดลูก
ส่วนใหญ่มักเกิดกับสตรีที่อยู่ในช่วงอายุ 45 ปี และหลังหมดประจำเดือนแล้ว
โดยประจำเดือนจะมาผิดปกติ เช่น มาระยะสั้นบ้าง ยาวบ้าง มาเร็วหรือช้าบ้าง
รวมไปถึงการมีเลือดออกที่ไม่ใช่ประจำเดือนปกติ
ซึ่งเป็นสัญญาณบอกให้รู้ถึงการเป็นมะเร็งมดลูกนั่นเอง
นอกจากนี้มีผู้หญิงจำนวนมากเข้าใจว่า
อาการดังกล่าวเป็นสัญญาณของการหมดประจำเดือน จึงไม่ได้สนใจ
จนเนื้อร้ายนั้นเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นมะเร็ง
การที่มะเร็งเต้านมเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันกับมะเร็งมดลูก
จะเรียกว่า"โรคมะเร็งซ้ำซ้อน"
เพราะไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็งมดลูกหรือมะเร็งเต้านมต่างก็มาจากความผิดปกติของ
ความสมดุลของฮอร์โมนในสตรี
ดังนั้นมะเร็งทั้งสองชนิดนี้จึงมักเกิดและเติบโตในเวลาไล่เลี่ยกันสาเหตุ
หนึ่งที่ทำให้ฮอร์โมนในสตรีเกิดความผิดปกติก็คือ ความอ้วน
คนอ้วนซึ่งมีไขมันในร่างกายสะสมอยู่มากจะมีฮอร์โมนหลั่งออกมาตลอดเวลา
และอวัยวะที่มีผลต่อการหลั่งของฮอร์โมนมากที่สุดก็คือมดลูกและเต้านมนั่นเอง
กรณีของมะเร็งซ้ำซ้อนซึ่งเกิดจากการกระตุ้นของฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเป็น
ฮอร์โมนสตรี เป็นระยะเวลานาน ๆ จนเอสโตรเจนออกมามากผิดปกติ
และไปกระตุ้นอวัยวะที่ไวต่อฮอร์โมนบริเวณเต้านมกับบริเวณเยื่อบุโพรงมดลูก
โดยจะถูกกระตุ้นพร้อมกัน อาจจะมดลูกก่อนและอาจจะมาเป็นเต้านมทีหลังอีกที
แต่เป็นกรณีที่พบได้ไม่มากนัก
ปัจจุบันมีคนเป็นโรคมะเร็งในลักษณะนี้มากขึ้นเนื่องจากผู้หญิงไทยในปัจจุบัน
มีภาวะของโรคอ้วนเพิ่มสูงขึ้น
มะเร็งมดลูกสามารถรักษาหายได้ หากรู้ตัวตั้งแต่ระยะแรก ๆ
คือเป็นระยะที่ 1 พบว่าประมาณ 70% ขึ้นไป สามารถหายภายใน 5 ปี ระยะที่ 2
จะตรวจพบประมาณ 50% ผู้ป่วยจะสามารถมีชีวิตรอด 5 ปี ระยะที่ 3
จะตรวจพบประมาณ 30% ระยะที่ 4 มีประมาณ 10%
จากสถิติการเป็นมะเร็งมดลูกของคนไทย พบว่า คนไทยเป็นมะเร็งมดลูก ปีละ
1.7% ของมะเร็งในผู้หญิง พบในช่วงอายุ 35-80 ปีประมาณ 1.73% และประมาณ
65.7% พบในผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 50 ปี และประมาณ 50% ของมะเร็งมดลูก
พบในคนอ้วนและอีก 50% พบในสตรีที่ไม่มีบุตร
วิธีการรักษาโรคมะเร็งมดลูก
การตรวจมะเร็งมดลูกสามารถทำได้โดยการตรวจอัลตราซาวนด์
เพื่อดูความหนาของเยื่อบุโพรงมดลูก ว่ามีความหนาเกิน 1 เซนติเมตรหรือไม่
ถ้าเกินถือว่าผิดปกติ โดยเริ่มจากการทาเจลที่บริเวณหน้าท้อง
เพื่อเป็นตัวนำคลื่นเสียงความถี่สูงให้ผ่านไปยังเนื้อเยื่อง่ายขึ้น
จากนั้นจะนำหัวตรวจอัลตราซาวนด์ไปวางที่หน้าท้อง
จากนั้นภาพก็จะปรากฏบนหน้าจอ เพื่อตรวจวินิจฉัยต่อไป
รู้ไว้ ไกลโรคมะเร็งมดลูก
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการ
และไม่รับประทานอาหารที่มีไขมันสูงซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอ้วน
และควรไปรับการตรวจเต้านมและมดลูก โดยเฉพาะผู้หญิงที่อยู่ในช่วงอายุ 45
ปีขึ้นไป รวมถึงสตรีที่ไม่มีบุตรซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคสูง
***ภาพจำลองการเติบโตของมะเร็งในเวลาเดียวกัน***
***ร่างกายที่มีไขมันสะสมอยู่มากจะมีฮอร์โมนหลั่งออกมาตลอดเวลา***
แพทย์ผู้ให้ข้อมูล : นพ.ทวีศักดิ์ หาญพานิชเจริญ สูติ-นรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญประจำโรงพยาบาลพญาไท 3
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น