Clock


วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Antiphospholipid Antibody Syndrome

   เจนนี่เพิ่งตั้งครรภ์ได้ไม่นาน ขณะกำลังทำงานบ้าน เธอรู้สึกหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ เป็นๆ หายๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเธอรู้สึกเจ็บท้องและแท้งลูกทั้งที่เพิ่งตั้งครรภ์ได้ เพียง 3 เดือน
     1 ปีผ่านไป เจนนี่และสามีก็ได้มาตรวจที่โรงพยาบาลเพราะกำลังจะมีลูก คราวนี้เธอหมั่นมาตรวจเช็กร่างกาย ระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน คำนึงถึงสุขภาพทุกวินาทีด้วยอยากให้ลูกรักแข็งแรง แต่ช่วงนี้เธอไม่สบายใจที่สามีเริ่มกลับบ้านดึก ในคืนหนึ่งเธอเกิดวิงเวียน พอพักสักครู่ก็หายเป็นปกติ เธอจึงเข้าใจว่าเป็นเพราะความกังวลใจ พลันเธอสังเกตเห็นมีหลอดเลือดขอดเป็นลายกว้างที่น่องและออกเสียงพูดได้ไม่ ชัดโดยไม่ทราบสาเหตุ แล้ว 2 เดือนต่อมา ขณะที่เจนนี่ไปแอบดูพฤติกรรมสามีและพบว่า ที่แท้เขาอยู่ทำโอทีทุกวันด้วยความขยัน ทันใดนั้นเธอเกิดเจ็บท้องอย่างมากจึงถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เจนนี่ต้องสุญเสียลูกไปอีกครั้ง เป็นที่น่าสงสัยจริง ๆ ว่าเธอเป็นโรคร้ายอะไรกันแน่

 กลุ่มเสี่ยง
     โรคนี้ถือเป็นโรคที่พบได้น้อย โดยเกิดขึ้นได้กับทั้งเพศหญิงและเพศชาย แต่ 80% จะเกิดขึ้นกับเพศหญิง โดยเฉพาะหญิงอายุน้อยที่เกิดความเสื่อมของตัวเซลล์ หญิงที่ตั้งครรภ์ รวมทั้งผู้ที่เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือ SLE จะมีโอกาสเป็นโรคนี้เพิ่มอีก  50%

 อาการที่พึงระวัง
     โรคนี้แทบจะไม่มีอาการเตือนที่ชัดเจน มักเจออาการของโรคกับหญิงที่ตั้งครรภ์ เนื่องจากจะมีการเปลี่ยนแปลงของระบบหลอดเลือดและระบบฮอร์โมนทำให้เกิดภาวะ แทรกซ้อนได้ง่ายขึ้น อาการเวียนศีรษะในหญิงตั้งครรภ์จึงเป็นอาการเสี่ยงที่อาจลุกลามกลายเป็นโรค Antiphospholipid Antibody Syndrome โดยจะมีแผงหลอดเลือดแดงชัดขึ้นมาบริเวณน่อง หรือมีอาการพูดไม่ชัดร่วมด้วย

 ลักษณะของโรค
     โรค Antiphospholipid Antibody Syndrome (แอนติฟอสโฟลิปิด แอนติบอดี ซินโดรม)  เป็นโรคที่เฉพาะเจาะจงมาก จึงไม่มีชื่อโรคเป็นภาษาไทย เพราะแปลเป็นภาษาไทยแล้วอาจทำให้สับสน โรคนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มโรคคอลลาเจน คล้ายกับโรคภูมิแพ้ตัวเอง หรือโรค SLE ปกติเมื่อร่างกายมีสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคเข้าไป เม็ดเลือดขาวจะทำลายกำจัดเชื้อโรคโดยการสร้างแอนติบอดี  (antibody) หรือภูมิคุ้มกันขึ้นมา
     ปกติแล้วภูมิคุ้มกันจะไม่ทำลายเซลล์ของตัวเอง เพราะจำได้ว่าเซลล์ไหนคือเซลล์ร่างกาย ฉะนั้น การที่ภูมิคุ้มกันของเราเองจำเซลล์ของตัวเองไม่ได้ ก็จะทำลาย เซลล์ที่จำไม่ได้จนเกิดเป็นโรคนี้ขึ้น  ซึ่งโดยทั่วไปลักษณะกลุ่มโรคนี้มีมากในหลอดเลือด เนื่องจากในกระแสเลือดมี แอนติบอดีค่อนข้างเยอะ อาการแสดงออกมาจึงเกี่ยวข้องกับหลอดเลือดเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเป็นโรคนี้ เลือดจะแข็งตัวได้ง่ายกว่า เสี่ยงต่อการเป็นโรคสมองขาดออกซิเจน หรือหัวใจล้มเหลวได้ ในกรณีที่ร้ายแรงมาก ๆ อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
     ลักษณะเฉพาะของโรคนี้คือ การเกิดการแข็งตัวของเลือดจนทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ตามมา หากโรคนี้เกิดในเพศหญิงที่อายุน้อย มักพบว่าเกิดจากความเสื่อมของตัวเซลล์ ปัญหาที่ตามมาคือถ้าหลอดเลือด มีการแข็งตัวหรือมีแผลที่ผนังหลอดเลือด ร่างกายจะมีการซ่อมแซมโดยการสร้างลิ่มเลือดขึ้นมา เมื่อลิ่มเลือดหลุดไปอุดตันที่อวัยวะไหน ก็จะทำให้มีอาการของอวัยวะนั้น หากเกิดโรคนี้ในขณะตั้งครรภ์ จะทำให้หลอดเลือดภายในรกในครรภ์เกิดการแข็งตัว ลิ่มเลือดไปอุดเส้นเลือดทางเดินจากแม่ไปสู่ลูก ส่วนหนึ่งคือหลอดเลือดบริเวณรกจะมีหลอดเลือดเล็ก ๆ และปริมาณมาก ถ้ามีการแข็งตัวหรือมีลิ่มเลือดไปเกาะ เลือดที่จะไปเลี้ยงเด็กก็จะน้อย ส่งผลให้ทารกไม่สามารถรับสารอาหารได้อย่างเพียงพอทำให้แท้ง ถ้าลิ่มเลือดไปอุดตรงหัวใจจะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
     การที่เจนนี่แท้งลูกถึง  2  ครั้ง  จึงเกิดขึ้นเพราะโรค Antiphospholipid Antibody Syndrome นั่นเอง โดยอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเจจี่ เนื่องจากหลอดเลือดที่สมองและขาทั้ง 2 ข้างเกิดการแข็งตัวของเลือดในเวลาเดียวกัน อาการเวียนศีรษะที่เกิดขึ้น ก็อาจเป็นเพราะมีลิ่มเลือดเล็ก ๆ ขึ้นไปอุดหลอดเลือดในสมองส่วนนั้น ส่วนการพูดไม่ชัดหรือพูดไม่ได้  ลิ่มเลือดอาจไปอุดในส่วนของสมองบับคับการพูด แต่เนื่องจากมันเล็กมากจึงอาจจะหลุดไปได้ อันตรายก็คือ ถ้าอุดแล้วมันไม่ หลุดก็จะเป็นอัมพฤกษ์ หรืออัมพาต 1 ปีผ่านไปหลังจากที่ได้รับการรักษาไม่ให้เลือดแข็งตัวได้ง่าย เจนนี่ก็ได้ให้กำเนิดบุตรโดยปราศจากเรื่องร้ายใดๆอีก ทางการแพทย์ถือว่าโรค  Antiphospholipid Antibody Syndrome  มีน้อยมาก ในยุโรปจะพบโรคนี้ประมาณ 5-10% ส่วนในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์พบน้อยกว่า  1%
     ถึงตรงนี้คุณผู้อ่านอาจสงสัยว่า ถ้าตั้งครรภ์แล้วไปตรวจโดยเจาะจงว่าจะตรวจแอนติบอดีตัวนี้ได้หรือไม่ คำตอบ คือได้แต่อาจจะไม่คุ้มค่า เนื่องจากราคาแพง และโรคนี้ถือเป็นโรคที่พบน้อย หากมีอาการที่บ่งบอกหรือมี แนวโน้มว่าจะเป็นจึงค่อยไปตรวจ  ถ้าตรวจแล้วพบว่าเราเป็นโรคนี้ก็ไม่ต้องวิตกกังวลจนเกินไป เพราะการรักษาสามารถทำให้มีชีวิตอยู่และมีบุตรได้

 วิธีการรักษา
     โรคนี้เป็นโรคที่ยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แน่ชัด และไม่มีวิธีป้องกันที่ ชัดเจน จึงไม่มีวิธีการรักษาที่แน่นอนในคนไข้แต่ละราย หากตรวจพบจะรักษาด้วย การให้ยาเพื่อไม่ให้สร้างลิ่มเลือด เช่น กลุ่มยาแอสไพริน และกลุ่มยาที่ไม่ ทำให้เกิดลิ่มเลือด  หากตั้งครรภ์จะเปลี่ยนเป็นการให้ยาที่ไม่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่อการตั้ง ครรภ์ เช่น การแท้ง ครรภ์เป็นพิษ การคลอดก่อนกำหนด คลอดแล้วเด็กตัวเล็กผิดปกติ ฯลฯ

 รู้ไว้ ไกลโรค
     หากสงสัยว่าตัวเองมีสภาวะเสี่ยงที่จะเป็นโรค Antiphospholipid Antibody Syndrome ควรไปตรวจวัดระดับ
คอเลสเตอรอลในกระแสเลือด  และตรวจหาความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน  หรือที่เรียกว่า แอนติบอดี  ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรค
 โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
 แพทย์ผู้ให้ข้อมูล : นพ.ธิติกรณ์  วานิชย์กุล หัวหน้าศูนย์สุขภาพหญิง โรงพยาบาลพญาไท 2

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ค้นหา