Clock


วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การตรวจหาระดับไขมันในเลือด

ประเทศอเมริกาแนะนำให้ประชาชนที่มีอายุมากกว่า 20 ปี ควรจะได้รับการตรวจหาระดับไขมันในเลือดและหากปกติแนะนำให้ตรวจทุก 5 ปี สำหรับในประเทศไทยได้แนะนำการคัดกรองภาวะระดับไขมันเลือดดังนี้การตรวจไขมัน ให้อดอาหาร 9-12 ชั่วโมงการตรวจหาระดับไขมันในเลือดเราจะเลือดตรวจหาไขมันทั้งหมด 4 ชนิดด้วยกัน


การคัดกรองระดับไขมันในเลือดในประเทศไทย



แนวทางสำหรับประชาชนทั่วไป

  • อายุมากกว่า 35 ขวบและไม่มีปัจจัยเสี่ยงให้ตรวจระดับ cholesterol อย่างเดียว หากระดับ cholesterol มากกว่า 240 มก.%จึงตรวจหา triglyceride,HDL

  • อายุมากกว่า 45 ปีสำหรับผู้ชาย 55 ปีสำหรับผู้หญิงให้ตรวจหา cholesterol,triglyceride,HDL,LDL

สำหรับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง

  1. ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดแดงแข็งได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ประวัติสูบบุหรี่ ประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจขาดเลือด อัมพาต อัมพฤกษ์ หรือไขมันสูง

  2. ผู้ที่มีโรคหลอดเลือดแดงแข็ง เช่น โรคหัวใจขาดเลือด อัมพาต อัมพฤกษ์

ในผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องเจาะเลือดตรวจหา cholesterol triglyceride,HDL,LDL

  1. Total Cholesterol
  2. Triglyceride
  3. High density lipoprotein ไขมันที่ดี
  4. Low density lipoprotein ไขมันที่ไม่ดี

การเตรียมตัวก่อนเจาะเลือดหาไขมัน

  1. ต้องอดอาหารก่อนตรวจเลือดไม่น้อยกว่า 12 ชั่วโมง ให้ดื่มน้ำเปล่าได้
  2. ในระยะ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาให้รับประทานอาหารที่เคยรับประทานอยู่
  3. ผู้ที่เจ็บป่วยหนักหรือได้รับการผ่าตัดควรตรวจวัดระดับไขมันในเลือดหลังจากหายป่วยแล้ว 3 เดือน สำหรับผู้ที่เจ็บเล็กน้อยสามารถตรวจวัดระดับไขมันในเลือดได้เมื่อหายจากเจ็บป่วย 3 สัปดาห์
  4. ให้เจาะท่านั่ง เพราะการเจาะท่านอนจะต่ำกว่าท่านั่งเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของระดับพลาสม่า
  5. ต้องระบุว่าจะใช้พลาสม่าหรือซีรั่มในการตรวจวัดระดับไขมัน ระดับไขมันในพลาสม่าจะต่ำกว่าในซีรั่มร้อยละ 4
  6. สำหรับผู้ที่มีกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันควรตรวจภายใน 12 ชั่วโมงแรกหรือหลังจากเกิดอาการ 6 สัปดาห์
ไขมันในเลือดสูงกับความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ

ไขมันในเลือดเป็นปัจจัยเสี่ยงข้อหนึ่งของโรคหัวใจ

การรักษาไขมันในเลือดสูงควรจะรักษาเมื่อความเสียงต่อโรคหลอดเลือดแดงหัวใจตีบสูง ในการประเมินความเสี่ยงจะต้องเจาะเลือดตรวจระดับไขมัน และความเสี่ยงอื่นๆ

แนะนำให้เจาะเลือดตรวจไขมัน 4 ชนิดคือ LDL,HDL,Triglyceride,Total Cholesterol ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป(ตามมาตราฐานประเทศอเมริกา สำหรับประเทศไทยไทยจะเจาะเมื่ออายุมากกว่า 45 ปี)หากปกติให้เจาะเลือดทุก 5 ปี หากไม่ได้อดอาหารให้เจาะเพียง Total Cholesterol การรักษาไขมันในเลือดตามคำแนะนำของสมาคมโรคหัวใจของอเมริกาได้มีการเปลี่ยน แปลงจึงขอนำเสนอขั้นตอนการรักษา

  1. ขั้นที่1ต้องรู้ระดับไขมันในเลือดโดยการเจาะเลือด ไขมันที่ต้องการรู้มี 3 ตัว
LDL Cholesterol เป็นเป้าหมายหลักที่จะรักษา
<100 ค่าที่ต้องการ
100-129 ค่าใกล้เคียงปกติ
130-159 ค่าค่อนไปทางสูง
160-189 สูง
>190 สูงมาก
Total Cholesterol
<200 ค่าที่ต้องการ
200-239 สูงปานกลาง
>240 สูง
HDL Cholesterol
<40 ต่ำสูง
>60 สูง
  1. ขั้นที่ 2 ให้คุณสำรวจว่าคุณเป็นโรคหลอดเลือดแดงแข็งหรือไม่ หรือโรคอื่นเช่น โรคเบาหวานหรือโรคอื่นๆที่จัดเทียบเท่าโรคหลอดเลือดแดงแข็งได้แก่
  • โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
  • โรคหลอดเลือดแดงใหญ่ที่คอตีบ
  • โรคหลอดเลือดแดงขาตีบ
  • โรคหลอดเลือดแดงใหญ่ในท้องโป่งพอง
  • โรคเบาหวาน
  • ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหลายข้อและมีความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจมากกว่า 20%ใน 10 ปี
  1. ขั้นตอนที่ 3 ให้สำรวจดูว่าคุณมีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจตีบข้างล่างนี้กี่ข้อ
  • สูบบุหรี่
  • ความดันโลหิตสูง(มากกว่า 140/90 หรือกำลังรับประทานยาลดความดันโลหิต)
  • LDL<40 มก.%
  • อายุ(ชายอายุมากว่า 45 ปี หญิงอายุมากกว่า 55 ปี หากอายุมากกว่านี้ถือเป็นปัจจัยเสี่ยง)
  • ประวัติครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบก่อนวัย(ชายเป็นก่อนอายุ 55 ปีหญิงเป็นก่อนอายุ 65 ปี)

หากว่าค่า HDL ของคุณมากกว่า 60 มก.%ให้หักความเสี่ยงที่ได้ลงไปหนึ่ง เช่นหากคุณเป็นผู้ชายอายุ 55 ปี สูบบุหรี่ เป็นความดันโลหิตสูง LDL=35มก.% HDL=65 มก.% คุณมีปัจจัยเสี่งทั้งหมด 4-1=3 ข้อ

หากคุณมีปัจจัยเสี่ยง๖อโรคหัวใจมากกว่า 2 ข้อ(ไม่นับรวม LDL)โดยที่ไม่มีโรคหลอดเลือดแดงแข็งให้เปิดตารางดูว่าคุณมีโอกาสเป็นโรค หัวใจใน 10 ปีเป็นเท่าใดโดยดูตารางนี้ ผู้ชายคลิกที่นี่ ผู้หญิงคลิกที่นี่

เมื่อคุณได้อัตราเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจแล้ว ทางปฏิบัติจะแบ่งเป็น 3 ระดับ

  • มากกว่า 20% = CHD risk-equivalent
  • 10-20%
  • น้อยกว่า10%
  1. ขั้นตอนที่ 4มาจัดกลุ่มความเสี่ยงเพื่อกำหนดเป้าหมายในควบคุมระดับ LDLและระดับไขมันที่ต้องเริ่มรักษาโดยการเปลี่ยนพฤติกรรมหรือการใช้ยาตาม ตารางข้างล่าง
กลุ่มความเสี่ยง ระดับ LDL เป้าหมาย

ระดับ LDLที่เริ่มรักษาโดยการ

เปลี่ยนพฤติกรรม[TLC]

ระดับ LDL ที่ต้องใช้ยารักษา

ผู้ที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เบาหวาน( หรือผู้ที่มีอัตราเสี่ยงมากกว่า 20%ใน 10 ปี)

น้อยกว่า 100 มากกว่า 100

มากกว่า 130 มก.%(สำหรับผู้ที่มีระดับ LDL อยู่ระหว่าง 100-129 แพทย์แนะนำให้เปลี่ยนพฤติกรรมก่อน)

ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ(ตามขั้นตอนที่3) มากกว่า 2 ข้อ(อัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า 20%)

น้อยกว่า 130 มากกว่าหรือเท่ากับ 130 >130 มก.% (สำหรับผู้ที่มีอัตราเสี่ยง 10-20%)
>160 มก.%(สำหรับผู้ที่มีอัตราเสี่ยงน้อยกว่า 10%)

ปัจจัยเสี่ยงน้อยกว่า 1

น้อยกว่า 160มก.% มากกว่า 160 มก.% มากกว่า 190 มก.%
  1. ขั้นตอนที่ 5หากค่า LDL มากกว่าค่าเป้าหมายให้เริ่มรักษาโดยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม [Therapeutic lifestyle change ]ซึ่งมีลักษณะดังนี้

1.ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอาหารดังนี้

  • พลังงานที่มาจากไขมัน 25-35 %ของพลังงานทั้งหมด
  • รับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวน้อยกว่า 7 %
  • รับประทานไขมันไม่อิ่มตัวแบบเชิงซ้อน polyunsaturated เพิ่มเป็นร้อยละ 10 ของพลังงานทั้งหมด
  • ไขมันไม่อิ่มตัวแบบเชิงเดี่ยว monounsaturated เพิ่มเป็นร้อยละ 20 ของพลังงานทั้งหมด
  • รับประทาน
  • และปริมาณไขมัน cholestero <200 mg%
  • รับประทานพวกแป้งให้ได้พลังงาน 50-60%ของพลังงานทั้งหมด
  • รับประทานโปรตีน 15 %ของพลังงานทั้งหมด
  • ให้รับประทานใยอาหารมากกว่า 20-30 กรัม/วันและ stanol มากกว่า 2 กรัม/วัน
  • พลังงานที่รับทั้งวันขึ้นกับการทำงาน การออกกำลังกาย และน้ำหนักรายละเอียดอ่านที่นี่

2.ให้ลดน้ำหนัก

น้ำหนักที่เหมาะสมสำหรับชาวเอเชียคือน้ำหนักที่ดัชนีมวลกายเท่ากับ 23 รายละเอียดอ่านที่นี่

3.ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายเพิ่มให้ร่างกายใช้พลังงานเพิ่มและลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน รายละเอียดอ่านที่นี่

  1. ขั้นตอนที่6 หลังจากการรักษาด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม 3 เดือนแล้วระดับ LDL ยังเกินเป้าหมายจะต้องใช้ยารักษา การใช้ยาจะทำควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ยาที่ใช้รักษาไขมันมีดังนี้

HMG CoA reductase inhibitor [ statin ]

  • ยาในกลุ่มนี้ประกอบด้วย Lovastatin[ 20-80 mg], Simvastatin [ 20-80mg ], Fluvastatin [20-80 mg ], Atrovastatin [10-80 mg]
  • ยาในกลุ่มนี้ลด LDLได้ร้อยละ 18-55% เพิ่ม HDLได้ร้อยละ 5-15%และลด TGได้ร้อยละ 7-30%
  • พบว่าการให้ยานี้เพื่อลดไขมันจะทำให้อัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดลดลง
  • ผลข้างเคียงของยาจะทำให้เกิดการอักเสบของกล้ามเนื้อและตับ
  • ข้อห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีตับอักเสบเฉียบพลันและตับอักเสบเรื้อรังและห้ามใช้ร่วมกับยา cyclosporin ยารักษาเชื้อรา

Bile acid sequestrants

  • ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ Cholestyramine [4-16 g],Colestipol [5-20gm],Colesevelam[2.6-3.8gm]
  • ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ในการจับกับไขมันในลำไส้เพื่อขับออกทางอุจาระ
  • ยากลุ่มนี้ลด LDLได้ร้อยละ15-30%และเพิ่มระดับ HDLได้ร้อยละ 3-5 %
  • ผลข้างเคียงของยาแน่นท้อง ท้องผูก ลดการดูดซึมของยาบางชนิด
  • ข้อห้ามใช้ ในผู้ป่วยที่มีtriglycerideสูงกว่า 400 มก.%

Nicotinic acid

  • ยากลุ่มนี้ได้แก่ Nicotinic acid[ 1.5-3 gm ]จัดเป็นวิตามิน B
  • ยากลุ่มนี้ลดLDLได้ 5-25 % เพิ่ม HDL15-35% ลดTriglycerideได้ร้อยละ20-50
  • ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้คือ คันตามตัว ร้อนตามตัวซึ่งจะเกิดหลังจากรับประทานยาไปครึ่งชั่วโมง หน้าแดง น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น กรดยูริกเพิ่ม แน่นท้อง และตับอักเสบ
  • ข้อห้ามใช้คือ โรคตับ โรคเกาท์ โรคเบาหวาน โรคกระเพาะ
  • ขนาดที่ใช้รักษา 1-3 กรัม/วัน

Fibric acid

  • ยากลุ่มนี้ได้แก่ Gemfibrizil [600-1200 mg],Fenofibrate [200 mg]
  • ยากลุ่มนี้ลดLDLได้ร้อยละ 5-20 เพิ่มHDLได้ร้อยละ 10-20 ลดTriglycerideได้ร้อยละ 10-20
  • ยานี้เหมาะสำหรับผู้ที่มี Triglyceride สูง,LDL สูงและมี HDL ต่ำ
  • ยานี้เมื่อใช้ร่วมกับยาในกลุ่ม statin จะลดไขมันที่ LDLสูงและมี triglyceride สูง แต่การให้ยาร่วมกันต้องระวังภาวะกล้ามเนื้ออักเสบ
  • ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้คือ คลื่นไส้ อาเจียน แน่นท้อง ปวดกล้ามเนื้อ อาจจะทำให้เกิดการอักเสบของตับ อาจจะทำให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดีหากใช้ยานี้ไปเป็นระยะเวลานานๆ
  • ข้อห้ามใช้ผู้ที่มีตับวายและไตวาย
  1. ขั้นตอนที่ 7 คุณต้องค้นหาว่าตัวคุณมีภาวะ Metabolic อsyndrome คือภาวะที่มีกลุ่มของอาการโดยสาเหตุเกิดจากหลายๆสาเหตุ สาเหตุที่สำคัญคือภาวะดื้อต่ออินซูลินซึ่งจะพบภาวะนี้ในผู้ป่วยก่อนที่จะเป็นโรคเบาหวาน การที่จะทราบว่ามีกลุ่มอาการนี้หรือไม่ลองดูตารางข้างล่างนี้หากคุณมี 3 ข้อขึ้นไปถือว่าคุณมีภาวะ Metabolic syndrome
ปัจจัยเสี่ยงต่อ Metabolic syndrome เกณฑ์การวัด
1.อ้วนลงพุง โดยการวัดเส้นรอบเอว
ผู้ชาย ผู้ชาย< 102ซม(เอเชียไม่เกิน 90 ซม)
ผู้หญิง ผู้หญิง< 88 ซม(เอเชียไม่เกิน 80 ซม)
2.Triglyceride >150 mg.%
3.HDL Cholesterol
ผู้ชาย <40mg%
ผู้หญิง <50mg.%
4.ความดันโลหิต >130/85 mmHg
5.ระดับน้ำตาล >110 mg.%

เมื่อสำรวจแล้วหากคุณพบว่าคุณมีมากกว่า 3 ข้อคุณต้องรักษาภาวะ Metabolic syndrome ซึ่งมีวิธีการรักษาดังนี้

  1. รักษาโรคหรือภาวะพื้นฐาน
  • ควบคุมน้ำหนัก
  • ออกกำลังกาย
  1. รักษาโรคอื่นที่เป็น
  • รักษาความดันโลหิตสูง
  • รับประทาน aspirin ป้องกันโรคหลอดเลือดแดงแข็ง
  • รักษาโดยการลด triglyceride และเพิ่ม HDL
  1. ขั้นตอนการรักษาขั้นที่8 หลังจากที่สามารถควบคุมระดับ LDL ได้ตามเป้าหมายแล้ว แพทย์ผู้รักษาจะให้การรักษาระดับ Triglyceride เป็นลำดับต่อมา ค่าปกติของระดับ Triglyceride
<150 ค่าปกติ
150-199 สูงเล็กน้อย
200-499 สูง
>500 สูงมาก

ในการรักษาระดับ Triglyceride จะแบ่งระดับตามความรุนแรงดังนี้

  1. ระดับ Triglyceride น้อยกว่า 150มก.%
  • เป้าหมายให้คุม LDL ให้ได้ตามเป้าหมาย
  • ลดน้ำหนักให้ได้ตามเกณฑ์
  • ออกกำลังกาย
  1. หากระดับ Triglyceride ยังมากกว่า 200 มก.%จะต้องให้ยาเพื่อลดระดับของ Non-HDL-Cholesterol ให้ได้ตามเป้าหมาย วิธีการอาจจะทำได้โดย
  • เพิ่มยาลด LDL
  • เพิ่มยาในกลุ่ม nicotinic หรือ fibrate
  1. หาก Triglyceride มากกว่า 500 มก.%ให้รักษาระดับtriglyceride ก่อนเพื่อป้องกันตับอ่อนอักเสบ
  • ให้รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำกว่ำ 15 %ของพลังงานทั้งหมดหรือจะพูดภาษาชาวบ้านก็คือหลีกเลี่ยงอาหารมันให้มากที่สุด
  • ลดน้ำหนักและออกกำลังกาย
  • ให้ยาในกลุ่ม fibrate หรือ nicotinic
  • เมื่อระดับ triglyceride น้อยกว่า 500 มก.%จึงค่อยมารักษาระดับ LDL

การรักษาระดับHDL ที่ต่ำกว่า 40 มก%

  • ให้รักษาระดับ LDL ก่อน
  • ลดน้ำหนักและออกกำลังกาย
  • ถ้าระดับ triglyceride อยู่ระหว่าง 200-499 มก.%ให้คุมระดับ Non-HDL-Cholesterol ให้ได้ตามเป้าหมาย
  • หากระดับ triglyceride น้อยกว่า 200 มก.%ให้ยา fibrate หรือ nicotinic

ระดับไขมัน Non-HDL-Cholesterol เป้าหมาย

กลุ่มความเสี่ยง ระดับ LDL เป้าหมาย Non-HDL-Cholesterol
ผู้ที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เบาหวาน( หรือผู้ที่มีอัตราเสี่ยงมากกว่า 20%ใน 10 ปี) น้อยกว่า 100 น้อยกว่า 130
ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ(ตามขั้นตอนที่3)มากกว่า 2 ข้อ(อัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า 20%) น้อยกว่า 130 น้อยกว่า 160
ปัจจัยเสี่ยงน้อยกว่า 1 น้อยกว่า 160มก.% น้อยกว่า 190
การรักษาไขมันในเลือดสูง

การรักษา cholesterol ในเลือดสูงด้วยอาหาร

ประกอบด้วยหลักการ 7 ประการ

  1. รับประทานที่ให้พลังงานแต่พอควร การรับประทานอาหารที่ให้พลังงานมากกว่าร่างกายนำไปใช้ได้เป็นประจำจะก่อให้เกิดโรคอ้วนในที่สุด ซึ่งมีผลทำให้ VLDL-Triglyceride ในเลือดสูงขึ้น HDL-cholesterol ในเลือดต่ำ ตลอดจนอาจทำให้ LDL-cholesterol ในเลือดสูงขึ้น ผู้ที่อายุมากกว่า20ปีสามารถประเมินตนเองว่าอ้วนหรือไม่ได้2วิธีคือ
  • อัตราส่วนเส้นรอบเอวต่อเส้นรอบวงสะโพก ผู้ชายและผู้หญิงควรมีเส้นรอบเอวที่ระดับสะดือต่อเส้นรอบวงสะโพกน้อยกว่า 1 และ 0.8ตามลำดับ หรืออาจจะวัดเส้นรอบเอวผู้ชายไม่ควรเกิน 90 ซม.ส่วนผู้หญิงไม่เกิน 80 ซม.
  • ดัชนีมวลกายโดยเอาน้ำหนัก(กก)หารด้วยส่วนสูง(เมตร)ยกกำลังสองค่าปกติอยู่ระหว่าง 20.00-25.00กก/ตารางเมตร
  1. ผู้ป่วยที่มีน้ำหนักเกินควรจะลดปริมาณอาหารลง

  1. รับประทานไขมันทั้งหมดไม่เกินร้อยละ30ของพลังงานที่ได้รัรับประทานไขมันที่มีสัดส่วนของกรดไขมันอย่างเหมาะสมดังนี้
  • รับประทานไขมันอิ่มตัว [saturated fat]ให้น้อยกว่าร้อยละ 10 ของพลังงานที่ได้รับเพราะไขมันอิ่มตัวส่วนใหญ่เพิ่ม LDL-cholesterol ในกระแสเลือด
  • รับประทานกรดไลโนเลอิก [linoleic acid] ร้อยละ 7ของพลังงานที่ได้รับโดยมีเหตุผล 2ประการคือป้องกกันการขาดกรดไลโนเลอิกและลดระดับ LDL-cholesterol
  • รับประทานกรดแอลฟา-ไลโนเลอิด [alpha-linolenic acid] ร้อยละ 0.5-1.0 ของพลังทั้งหมด
  • รับประทานกรดโอเลอิก [oleic acid] ร้อยละ 10-15ของพลังงานทั้งหมดเพราะกรดนี้สามารถ LDL-cholesterlได้ดีพอๆกับไลโนเลอิก

ในทางปฏิบัติกระทำได้โดยการบริโภคน้ำมันถั่วเหลืองวันละ1.5-4.5ช้อนโต๊ะและหลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงด้วยไขมันอิ่มตัว เช่น น้ำมันปามล์ กะทิ เนยเหลว เนยเทียมแข็ง นม ครีม ไอสครีม หมูสามชั้น เนื้อติดมันมากๆ ไส้กรอก อาหารทอดนอกบ้าน เช่น ปาท่องโก๋ กล้วย ทอดมัน

  1. รับประทานไขมันcholesterolไม่เกินวันละ 300 มก. อาหารที่มีโคเลสเตอรอลมากคือสมองสัตว์ เครื่องในสัตว์ ไข่แดง จึงหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้ ส่วนเนื้อไม่ติดมันรับประทานได้พอควร
  2. รับประทานโปรตีนร้อยละ15-20ของพลังงานที่ได้รับ โดยเลือกเนื้อที่มีไขมันไม่มากเช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา นมพร่องมันเนยถั่วเหลือง ไข่ไม่เกินวันละฟอง
  3. รับประทานคาร์โบไฮเดรตร้อยละ 55-60 ของพลังงานทั้งหมด
  4. รับประทานผักและผลไม้ที่ไม่หวานเพราะใยอาหารจะช่วยลด cholesterolในเลือด

อาหารที่มีไฟเบอร์สูง(มากกว่า3กรัม/อาหาร100 กรัม)

แอปเปิล แพร์ ฝรั่ง ถั่วเขียว
ข้าวโพดอ่อน แครอท ถั่วแระ ถั่วฝักยาว
เม็ดแมงลัก ถั่วลิสง งา รำข้าว
เมล็ดทานตะวัน ถั่วแดง มะเขือพวง สะเดา
ผักกระเฉด กระเทียม ห็ดหูหน ใบชะพลู

อาหารที่มีไฟเบอร์ปานกลาง(1-3 กรัม/อาหาร 100 กรัม)

ขนมปังโฮลวีท สปาเกตต มะกะโรน ข้าวซ้อมมือ
กะหล่ำปล ข้าวโพดต้ม พุทรา น้อยหน่า
ตะขบ ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา กล้วย
ฝรั่ง มะม่วงดิบ มะละกอสุก ส้มเช้ง
ข้าวกล้อง เห็ด

  1. เลือกใช้น้ำมันให้ถูกต้อง ควรเลือกใช้น้ำมันพืชที่มีไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโมโน[monounsaturated]สูง กรดไลโนเลอิก และไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโพลี่ [polyunsaturated] พอควร ไขมันอิ่มตัว[saturated]ต่ำ ดังนั้นที่ดีคือ น้ำมันมะกอก รองลงมาคือน้ำมันถั่วเหลือง และน้ำมันข้าวโพด

สัดส่วนไขมันในน้ำมันชนิดต่างๆ


กรดไลโนเลอิก [linoleic acid]

ไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโมโน monounsaturated fat

ไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโพลี่ polyunsaturated fat

ไขมันชนิดอิ่มตัว saturated fat

เนย/หมู/ปาล์ม 2% 30% 2% 66%
เมล็ดนุ่น - 19% 54% 27%
ถั่วลิสง ---- 48% 34% 18%
ถั่วเหลือง 7% 24% 54% 15%
มะกอก 1% 77% 8% 14%
ข้าวโพด 1% 25% 61% 13%
ดอกทานตะวัน --- 20% 69% 11%
น้ำมันงา
40% 42% 14%
น้ำมันไก่
47% 21% 31
กระทิ


6% 2%

การรักษาไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงด้วยอาหาร

ประกอบด้วยหลักการ 4 ประการคือ

  1. จำกัดพลังงานที่รับประทานร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  2. ลดปริมาณการบริโภคคาร์โบไฮเดรตโดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำตาล
  3. หยุดสุราโดยเด็ดขาด
  4. หลักการต่างๆที่ได้กล่าวในรักษา cholesterol สูงโดยการควบคุมอาหาร

การรักษาไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงด้วยอาหาร

อาหารที่มีน้ำตาลหรือพวกแป้งมากจะทำให้ Triglyceride ในเลือดสูงขึ้น ดังนั้นจึงควรจะงด

  1. อาหารที่หวานหรือมีแป้งมากเช่น ลูกอม น้ำตาล น้ำหวาน น้ำผึ้ง jams, jellies, pies, cakes, cookies, candy, doughnuts, ice cream, frozen yogurt, และ gelatine หวาน
  2. พวกสสุราต่าง เช่นวิสกี้ ไวน์ เบียร์ บรั่นดี
  3. หลีกเลี่ยงพวกเนื้อแดงโดยเฉพาะของทอด

การควบคุมระดับ Triglyceride ประกอบด้วยหลักการ 4 ประการคือ

  1. จำกัดพลังงานที่รับประทานสำหรับคน ทั่วไปรับประทานไม่เกิน 30 กิโลแคลอรีต่อน้ำหนัก 1 กก ส่วนคนอ้วนไม่เกิน 25 กิโลแคลอรีต่อน้ำหนัก 1 กก
  2. รับประทานผักไม่จำกัด ทั้งผักใบเขียว หรือใบเหลือง
  3. และผลไม้อย่างน้อยวันละ 5 ส่วน(หนึ่งส่วยประมาณ 1/2 ถ้วยตวง)ควรจะรับประทานผลไม้ที่ออกรสเปรี้ยววันละครั้ง
  4. ลดปริมาณการบริโภคคาร์โบไฮเดรตโดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำตาล
  5. ใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันถั่วเหลือง ข้าวโพดแทนน้ำมันปาล์ม หรือแทนเนย
  6. หยุดสุราโดยเด็ดขาด
  7. ไม่ควรรับเครื่องดื่มที่มีรสหวาน เช่นน้ำอัดลม น้ำหวาน
  8. ออกกำลังกายวันละ 30 นาที
  9. ควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสม
  10. ดื่มนมพร่องมันเนยแทนนมสด
  11. รับประทานปลา หรือเนื้อไก่ที่ไม่ติดหนัง
  12. รับประทานถั่ว เช่น almon walnut ประมาณหนึ่งช้อนโต๊ะแทนนขมปังหนึ่งชิ้น
  13. หลักการต่างๆที่ได้กล่าวในรักษา cholesterol สูงโดยการควบคุมอาหาร

ตารางการประเมินความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ


ตารางข้างล่างนี้สำหรับผู้ชาย

คุณผู้อ่านกรอกคะแนนของคุณในแต่ละตารางแล้วนำคะแนนไปหาความเสี่ยงที่ตาราง

ตารางที่1แสดงอายุและคะแนน
อายุ คะแนน
20-34 -9
35-39 -4
40-44 0
45-49 3
50-54 6
55-59 8
60-64 10
65-69 11
70-74 12
75-79 13



ตารางที่ 2แสดงอายุและระดับไขมันและคะแนน
Total Cholesterol อายุ 20-39 คะแนน อายุ 40-49 คะแนน อายุ 50-59 คะแนน อายุ 60-69 คะแนน อายุ 70-79 คะแนน
<160 0 0 0 0 0
160-199 4 3 2 1 0
200-239 7 5 3 1 0
240-279 9 6 4 2 1
>280 11 8 5 3 1

ตารางที่4แสดงระดับ HDLและคะแนน
HDL Cholesterol คะแนน
60+ -1
50-59 0
40-49 1
<40 2

ตารางที่4แสดงการสูบบุหรี่ อายุและคะแนน

อายุ 20-39 คะแนน อายุ 40-49 คะแนน อายุ 50-59 คะแนน อายุ 60-69 คะแนน อายุ 70-79 คะแนน
ไม่สูบบุหรี่ 0 0 0 0 0
สูบบุหรี่ 8 5 3 1 1

ตารางที่5 แสดงระดับความดันโลหิตและคะแนน
ความดัน Systolic ไม่ได้รักษา รักษา
<120 0 0
120-129 0 1
130-139 1 2
140-159 1 2
>160 2 3

คุณรวมคะแนนตั้งแต่ตารางที่1-5 แล้วนำคะแนนมาหาความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจจากตารางข้างล่างนี้

คะแนน อัตราเสี่ยงใน 10 ปี คะแนน อัตราเสี่ยงใน 10 ปี
<0 <1% 9 5%
1 1% 10 6%
2 1% 11 8%
3 1% 12 10%
4 1% 13 12%
5 2% 14 16%
6 2% 15 20%
7 3% 16 25%
8 4% >17 >30%

เมื่อคุณได้ความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบใน 10 ปีคุณคลิกที่นี่เพื่อดูวิธีการป้องกัน


อาหารสุขภาพจะต้องประกอบไปด้วยอาหาร 5 หมู่ได้คาร์โบไฮเดรต์ โปรตีน ไขมัน ผักผลไม้ และนม ไขมันเป็นอาหารที่ให้พลังงานมากที่สุดเมื่อเทียบกับน้ำหนักที่เท่ากัน ไขมันที่เรารับประทานมีอยุ่ 3 รูปแบบคือ
  • Triglyceride
  • Cholesterol
  • Phospholipid

กรดไขมัน(Fatty acid)คืออะไร

กรดไขมันเป็นการเรียงตัวของธาตุคาร์บ่อน( Carbon ,C) โดยที่ปลายด้านหนึ่งเป็น methyl group อีกด้านหนึ่งเป็น carboxyl group ความยาวของCมีได้หลายตัวหากมีความยาวน้อยกว่า 6 เรียก Short chainsk หากมี C มากกว่า 12 เรียก long chain fatty acid กรดไขมันเป็นอาหารของกล้ามเนื้อ หัวใจ อวัยวะภายในร่างกาย กรดไขมันส่วนที่เหลือใช้จะถูกสะสมในรูป triglyceride(ใช้กรดไขมัน3ตัวรวมกับ glycerol)ซึ่งจะสะสมเป็นไขมันในร่างกาย

ไขมัน



ไขมันอิ่มตัว Saturated fat

หมายถึงกรดไขมันที่มีธาตุ C ต่อกันด้วย single bond เท่านั้นการรับประทานอาหารไขมันชนิดอิ่มตัวจะทำให้ไขมันในเลือดสูงและเป็น ปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดตีบ แหล่งอาหารของไขมันอิ่มตัวได้แก่ น้ำมันปาล์ม กะทิ เนย นม เนื้อแดง ช้อกโกแลต

ไขมัน

ไขมันไม่อิ่มตัว เชิงเดี่ยว Monounsaturated

เป็นกรดไขมันที่มีธาตุ C ต่อกันด้วย Double bond เพียงหนึ่งตำแหน่ง นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการรับประทานอาหารไขมันประเภทนี้ทดแทนไขมันอิ่มตัวจะ ช่วยลดระดับ LDL Cholesterol ซึ่งเป็นไขมันที่ไม่ดีก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดตีบ อาหารที่มีไขมัน Monounsaturatedได้แก่ avocados, nuts, and olive, peanut and canola oils

ไขมัน

กรดไขมันไม่อิ่มชัวเชิงซ้อน Polyunsaturated

หมายถึงกรดไขมันที่มีธาตุ C ต่อกันด้วย Double bond อยู่หลายตำแหน่ง หากรับประทานแทนไขมันอิ่มตัวจะไม่เพิ่มระดับไขมันในร่างกาย อาหารที่มีไขมันชนิดนี้คือ น้ำมันพืชทั้งหลายเช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง

ไขมัน

essential fatty acids

เป็นกรดไขมันที่จำเป็นสำหรับร่างกาย แต่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องได้รับจากอาหารที่เรารับประทาน

Trans fatty acids

เป็นไขมันที่เตรียมจากนำน้ำมันพืชเช่นน้ำมันข้าวโพด ไปทำให้ร้อน เพื่อทำให้น้ำมันมีอายุใช้งานได้นานขึ้น และทำให้น้ำมันข้นขึ้นจนเป็นของแข็ง การรับประทานน้ำมันชนิดนี้มากจะทำให้ไขมัน LDL ในเลือดเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด รายละเอียดอ่านที่นี่

omega-3 fatty acids และ omega-6 fatty acids

เป็นกรดไขมันที่จำเป็นสำหรับร่างกาย แต่ร่างกายไม่สามารถผลิตเองต้องได้รับจากสารอาหาร omega-3 fatty acids จะมี Double bond ที่ตำแหน่ง C3 นับจากกลุ่ม Methyl group

omega-3 fatty acids จะพบมากในอาหารจำพวกปลาและน้ำมันพืช เช่น salmon, halibut, sardines, albacore, trout, herring, walnut, flaxseed oil, and canola oil

omega-6 fatty acids

เป็นกรดไขมันที่จำเป็นสำหรับร่างกาย แต่ร่างกายไม่สามารถผลิตเองต้องได้รับจากสารอาหารomega-6 fatty acids จะมี Double bond ที่ตำแหน่ง C6 นับจากกลุ่ม Methyl group

omega-6 fatty acids ะพบมากในอาหารจำพวกปลาและน้ำมันพืช corn, safflower, sunflower, soybean, and cottonseed oil

ไขมันในเลือดต่ำแค่ไหนถึงดี


ก่อนหน้านี้เมื่อรักษาคนไข้สำหรับคนทั่วไปจะคุมไขมัน LDL ไว้ประมาณ 130mg% สำหรับผู้ที่มีโรคเบาหวานจะคุมประมาณ 100 mg% แต่มีรายงานว่าการคุมไขมันให้ต่ำกว่านี้อาจจะได้ประโยชน์ในการลดโรคหัวใจและ หลอดเลือด แต่ยังไม่มีการศึกษาว่าได้ประโยชน์จริง จนเมื่อเดือนพฤษจิกายนได้มีการตีพิมพ์รายงานว่าได้มีการใช้ยาที่รักาาไขมัน ได้แก่ statin มารักษาไขมันให้อยู่ที่ระดับประมาณ 50 mg โดยใช้กับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจสูงพบว่า

  • เมื่อลดไขมันลงได้ตามกำหนดสามารถลดอัตราเกิดโรคหัวใจได้ร้อยละ 40-50 %
  • โรคแทรกซ้อนที่เกิดจากยาเช่นกล้ามเนื้ออักเสบก็ไม่ได้มากขึ้น
  • ไม่มีโรคแทรกว้อนเลือดออกในสมอง




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ค้นหา