เกณฑ์ในการวินิจฉัยเบาหวานมีดังนี้
-
การวัดระดับกลูโคสในพลาสม่าหลังการอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง [fasting plasma glucose :FPG] แนะนำให้ใช้วิธีซึ่งสะดวกและแม่นยำ ให้การวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานเมื่อระดับน้ำตาลในเลือด [FPG] สูงกว่า 126มก.%[7.0 mmol/L] สองครั้ง
-
การวัดความทนทานน้ำตาลกลูโคส [ oral glucose tolerance test:OGTT] กรณีสงสัยว่าจะเป็นเบาหวาน แต่ระดับพลาสม่ากลูโคสก่อนรับประทานอาหารไม่ถึง 126 มก.% ให้ตรวจโดยการดื่มน้ำตาลกลูโคส 75 กรัม เจาะเลือดก่อนดื่ม และ 2 ชั่วโมงหลังดื่ม วินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานเมื่อระดับพลาสม่ากลูโคสที่ 2 ชั่วโมงตั้ง 200 มก.%ขึ้นไป หากอยู่ระหว่า 140-199มก.%ถือว่าความทนทานต่อน้ำตาลบกพร่อง ( impaired glucose tolerance test) หากต่ำกว่า 140 มก%ถือว่าปกติ
-
การสุ่มวัดระดับกลูโคสในพลาสมา [random plasma glucose:RPG] โดยไม่กำหนดเวลาอดอาหาร ใช้ค่ามากกว่า 200 มก.%และมีอาการของโรคเบาหวาน เนื่องจากมีความแม่นยำต่ำจึงไม่นิยมหาก หากพบว่าค่ามากกว่า 200 มิลิกรัม%จะต้องนัดมาเจาะน้ำตาลก่อนอาหาร หรือทำการตรวจ การวัดความทนทานน้ำตาลกลูโคส OGTT อาจจะตรวจในผู้ป่วยที่มีอาการของโรคเบาหวานมากจำเป็นต้องรีบให้การรักษา
-
การใช้ระดับโปรตีนกลัยโคซัยเลต ได้แก่ glycosylate hemoglobin:HbA1c หากมีค่ามากกว่า 6.5 ให้วินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน
- ในกรณ๊ที่ค่า HbA1c>6.5 สองครั้งแต่ค่าน้ำตาลก่อนอาหารFBS<126 mg% หรือค่าน้ำตาล FBS>126 แต่ค่า HbA1c<6.5 ทั้งสองกรณีให้วินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน
สำหรับการตรวจหากลูโคสในปัสสาวะไม่นิยมเพราะผิดพลาดได้ง่าย
สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อเบาหวานมีดังต่อไปนี้(อ่านที่นี่)
- น้ำตาลอดอาหาร(FPG)อยู่ระหว่าง 100–125 mg/dl
- ค่าน้ำตาลหลังจากดื่นน้ำตาล 75 กรับที่ 2 ชม อยู่ระหว่าง( OGTT) 140–199 mg/dl
- ค่าน้ำตาลเฉลี่ย(HA1C) อยู่ระหว่าง 5.7–6.4%
ในการตรวจหากลูโคสในกระแสเลือดควรคำนึงถึงยาที่ทำให้น้ำตาลสูงขึ้นเช่น steroid,thiazide,nicotinic acid,beta-block,ยาคุมกำเนิด
การตรวจคัดกรองเบาหวานขณะตั้งครรภ์[Gestational Diabetes:GDM]
การคัดกรองของโรคเบาหวานชนิดที่หนึ่งไม่นิยมเนื่องจากราคาแพงและยังไม่เป็นที่ยอมรับ
ใครมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานสาเหตุของการเกิดโรคเบาหวานยังไม่ทราบแน่นอน แต่องค์ประกอบสำคัญที่อาจเป็นต้นเหตุของการเกิดได้แก่ กรรมพันธุ์ อ้วนลงพุง โรคอ้วน ขาดการออกกำลังกาย หากบุคคลใดมีปัจจัยเสี่ยงมากย่อมมี่โอกาสที่จะเป็นเบาหวานมากขึ้น ปัจจัยเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานได้แสดงข้างล่างนี้
การคัดกรองของโรคเบาหวานชนิดที่สองในบุคคลทั่วไป
ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่สองพบมากและมักจะวินิจฉัยไม่ได้ในระยะแรก การที่มีภาวะน้ำตาลสูงเป็นเวลานานๆทำให้เกิดการเสื่อมของอวัยวะต่างๆเช่น ตา หัวใจ ไต เส้นประสาท เส้นเลือด นอกจากนี้ยังพบว่ามีโรคความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในโลหิตสูงร่วมด้วย ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งในการวินิจฉัยให้เร็วที่สุดเพื่อลดภาวะแทรกซ้อน การตรวจคัดกรองเบาหวานในผู้ใหญ่ที่ไม่มีอาการ ผู้ที่ไม่มีอาการของโรคเบาหวานสมควรได้รับการเจาะเลือดตรวจตรวจหาเบาหวาน คือ
- คนที่มีดัชนีมวลกายมากกว่า 25 มและมีปัจจัยเสี่ยงข้อใดข้อหนึ่งการคำนวนดัชนีมวลกายคลิกที่น
- ไม่ออกกำลังกาย
- ประวัติครอบครัวพ่อแม่ พี่ หรือ น้อง เป็นเบาหวาน
- ชนชาติหรือเชื้อชาติกลุ่มเสี่ยงต่อเบาหวาน
- ความดันโลหิตสูงมากกว่า140/90 mmHg
- ระดับไขมัน HDL น้อยกว่า35 มก%และหรือ TG มากกว่า250 มก.%
- ประวัติเบาหวานขณะตั้งครรภ์หรือน้ำหนักเด็กแรกคลอดมากกว่า4กิโลกรัม
- HbA1c>5.7ผู้ที่ตรวจพบ IFG หรือ IGT
- มีประวัติโรคหัวใจและหลอดเลือด
- ผู้ป่วยที่อ้วนมากหรือมีลักษณะเป็นภาวะดื้อต่ออินซูลิน
- หากไม่มีเกณฑ์ดังกล่าวก็ให้ตรวจเมื่ออายุ 45 ปี
- หากผลปกติตะตรวจทุก 3 ปี
วิธีการตรวจ
- การวัดระดับกลูโคสในพลาสมาหลังการอดอาหารอย่างน้อย8ชั่วโมง [fasting plasma glucose :FPG] แนะนำให้ใช้วิธีซึ่งสะดวกและแม่นยำ ให้การวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานเมื่อระดับน้ำตาลในเลือด[FPG]สูงกว่า 126มก.%[7.0 mmol/L]
- การวัดความทนทานน้ำตาลกลูโคส [ oral glucose tolerance test:OGTT] วัดระดับน้ำตาลกลูโคส2ชั่วโมงหลังได้กินน้ำตาล75 กรัมจะให้การวินิจฉัยเมื่อวัดน้ำตาลสูงกว่า 200มก.%[11.1mmol/L]
- การสุ่มวัดระดับกลูโคสในพลาสมา [random plasma glucose:RPG] โดยไม่กำหนดเวลาอดอาหาร ใช้ค่ามากกว่า 160 มก.% เนื่องจากมีความแม่นยำต่ำจึงไม่นิยม
- การใช้ระดับโปรตีนกลัยโคซัยเลต ได้แก่ glycosylate hemoglobin:HbA1c และ glycosylate albumin[fructosamine] ไม่นิยมเนื่องจากมีความไวและความแม่นยำต่ำ
- การตรวจหากลูโคสในปัสสาวะไม่นิยมเพราะผิดพลาดได้ง่าย
ปกติ | IFG OR IGT | เบาหวาน |
FPG<100 mg/dl 2-Hr PG<140 mg/dl | FPG>100mg/dl <126mg/dl IFG 2-Hr PG>140mg/dl<200 mg/dl IGT |
|
ในการตรวจหากลูโคสในกระแสเลือดควรคำนึงถึงยาที่ทำให้น้ำตาลสูงขึ้นเช่น steroid,thiazide,nicotinic acid,beta-block,ยาคุมกำเนิด
การตรวจคัดกรองเบาหวานขณะตั้งครรภ์[Gestational Diabetes:GDM]
เด็กที่เกิดจากมารดาที่เป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์มักพบความผิดปกติได้หลายแบบ เช่น เด็กตัวโตมีน้ำหนักมากกว่า4000กรัม [macrosomia] หรือพบความพิการแต่กำเนิด แบ่งผู้หญิงขณะตั้งครรภ์เป็น3กลุ่มดังนี้
- กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในการเป็นเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์[GDM]ได้แก่ ความอ้วน เคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์[GDM] พบน้ำตาลในปัสสาวะ และมีประวัติเบาหวานในครอบครัว
- กลุ่มที่เสี่ยงปานกลาง
- กลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำได้แก่
- อายุน้อยกว่า25ปี
- น้ำหนักของหญิงก่อนตั้งครรภ์อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ประวัติการตั้งครรภ์ครั้งก่อนปกติ
- ไม่พบความผิดปกติในการตรวจน้ำตาล
- ไม่พบผู้ป่วยเบาหวานในครอบครัวสายตรง
- พบ[GDM]ในชุมชนต่ำ ในกลุ่มเสี่ยงสูงให้ตรวจหากลูโคสในเลือดให้เร็วที่สุด หากปกติให้ตรวจอีกครั้งเมื่อตั้งครรภ์24-48สัปดาห์
ในกลุ่มเสี่ยงปานกลางให้ตรวจหากลูโคสเมื่อตั้งครรภ์24-48สัปดาห์
ในกลุ่มเสี่ยงต่ำไม่ต้องตรวจหากลูโคส
วิธีการตรวจ ให้เจาะวัดระดับกลูโคสในพลาสมาหลังการอดอาหารอย่างน้อย8ชั่วโมง [fasting plasma glucose :FPG] >126มก.% หรือ การสุ่มวัดระดับกลูโคสในพลาสมา [random plasma glucose:RPG] โดยไม่กำหนดเวลาอดอาหาร >200 มก.%ให้วินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน หากน้ำตาลต่ำกว่านี้ให้ทดสอบว่าเป็น GDM หรือไม่ มีสองวิธี
- ทดสอบความทนทานกลูโคส [oral glucose tolerance test:OGTT] โดยการกินกลูโคส100กรัมแล้วเจาะหากลูโคสที่ 1 ,2,3 ชั่วโมง
| มก.% | mmol/l |
กลูโคสหลังงดอาหาร8-14 ชม. | 95 | 5.3 |
1-ชั่วโมงหลังกินกลูโคส | 180 | 10.0 |
2-ชั่วโมงหลังกินกลูโคส | 155 | 8.6 |
3-ชั่วโมงหลังกินกลูโคส | 140 | 7.8 |
ต้องงด อาหาร8-14ชั่วโมง และกินอาหารไม่จำกัด [glucose>150]gram/day]เป็นเวลา3วันผู้ป่วยนั่งและไม่สูบบุหรี่ตลอดการ ทดสอบ และระดับน้ำตาลต้องเท่ากับหรือเกินค่าในตารางอย่างน้อย2ค่า
- การทดสอบความทนทานกลูโคส [glucose challenge test: GCT] โดยการกินกลูโคส 50กรัมแล้วเจาะหากลูโคสถ้าพบว่าสูงกว่า140 มก.%ให้ทำตามข้อ1ต่อไป
- การคัดกรองของโรคเบาหวานชนิดที่หนึ่งไม่นิยมเนื่องจากราคาแพงและยังไม่เป็นที่ยอมรับ
ชนิดของโรคเบาหวาน แบ่งเบาหวานเป็น 4 กลุ่ม
โรคเบาหวานเป็นกลุ่มของโรคซึ่งมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งอาจจะเกิดจากความผิดปกติของการสร้าง หรือการออกฤทธิ์ หรืออาจจะเกิดจากกลไกทั้งสอง ผลจากการที่น้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานานทำให้เกิดโรคหลอดเลือดแข็งและมีการ ทำลาย ไต สมอง หัวใจ ระดับน้ำตาลเมื่อเป็นใหม่ๆจะไม่สูงแต่เมื่อเวลาผ่านไประดับน้ำตาลจะสูงขึ้น ชนิดของโรคเบาหวาน
- เบาหวานชนิดที่หนึ่ง [Type 1 diabetes,immune-mediated ] หรือที่เคยเรียกว่า Insulin-dependent diabetes ผู้ป่วยมักจะเกิดอาการก่อนอายุ 30 ปี ด้วยอาการหิวน้ำบ่อย น้ำหนักลด เกิด ketosis ได้ง่าย เกิดจากมีการทำลายของ ß-cell ทำให้มีการหลั่งอินซูลินน้อยลง
- immune-mediated เป็นโรคเบาหวานชนิดที่1เกิดจากมีการทำลายของตับอ่อนเนื่องจากมีภูมิคุ้ม antibody กันต่อ beta-cell ของตับอ่อน นอกจากนั้นยังพบมี antibody ต่อ insulin ผ๔้ป่วยจะไม่มีการสร้าง insulin หรืออาจจะมีแต่น้อยมาก ความรุนแรงของโรคในแต่ละคนจะไม่เท่ากัน บางคนเป็นมากและเร็ว นอกจากนั้นผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังเสียงต่อการเกิดโรคแพ้ภูมิต่างๆ เช่น Graves’ disease, Hashimoto’s thyroiditis, Addison’s disease, vitiligo, celiac sprue, autoimmune hepatitis, myasthenia gravis, and pernicious anemia
- Idiopathic diabetes เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ที่เจาะเลือดไม่พบ antibody ต่อเซลล์ของตับอ่อน
- เบาหวานชนิดที่สอง [Type 2 diabetes,noinsulin dependent] เกิดจากที่ร่างกายผลิตอินซูลินไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เนื่องจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน (insulin resistance) ความสำคัญของโรคเบาหวานชนิดนี้ก็คือคนอาจจะเป็นโรคเบาหวานโดยที่ไม่เกิด อาการอะไร เมื่อผู้ป่วยมีอาการของโรคเบาหวานมักจะมีโรคแทรกซ้อนแล้วร้อยละ 50 จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคเบาหวานจะต้อง ตรวจเลือดแม้ว่าจะยังไม่มีอาการของโรคเบาหวาน ผู้ป่วยมักจะมีอายุมากกว่า 30 ปีมักจะวินิจฉัยโดยการเจาะเลือดตรวจร่างกายโดยไม่มีอาการ ผู้ป่วยมักจะอ้วนโรคจะค่อยๆดำเนินจนเกิดโรคแทรกซ้อน ผู้ป่วยจะมีระดับอินซูลินปกติหรือสูงสาเหตุที่เป็นเบาหวานเพราะมีภาวะต้าน ต่ออินซูลิน insulin resistance การลดน้ำหนัก การออกกำลังกาย จะช่วยในการควบคุมโรคเบาหวาน
- เบาหวานชนิดอื่นๆตามสาเหตุ เช่น พันธุกรรมเนื่องจากการทำงานของ beta cell,การออกฤทธิ์ของอินซูลิน หรือจากการติดเชื้อ จากยาเป็นต้น เนื่องจากพบไม่บ่อยจึงไม่ขอกล่าวในที่นี้
- เบาหวานในคนตั้งครรภ์ [ Gestation diabetes] เบาหวานที่เป็นขณะตั้งครรภ์
(ในปี2010 ได้จัดเบาหวานไว้เป็นสี่กลุ่มดังกล่าวข้องต้น)
- น้ำตาลของคนปกติจะน้อยกว่า 100 มก%
- ค่าน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติแต่ยังไม่ถึงระดับที่จะวินิจฉัยว่าจะเป็นเบาหวาน [100-126 mg%] เรียก Prediabetes ผู้ป่วยกลุ่มนี้มี อัตราเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานสูงส่วน
- ผู้ที่มีระดับน้ำตาลเกิน 126 มก%ให้การวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน
ส่วนการตรวจความทนทานต่อเบาหวาน Glucose tolerance test
- IGT เป็นการทดสอบโดยให้รับประทานน้ำตาล 75 กรับแล้วตรวจหาระดับน้ำตาลหลังรับประทานน้ำตาลไปแล้ว 2 ชั่วโมงอยู่ในช่วง 140 - 200 มก%
- คนที่ปกติระดับน้ำตาลจะน้อยกว่า 140 มิลิกรัม
- ค่าอยู่ระหว่าง 140-199 มิลิกรัมเรียก impaired glucose tolerance test เป็นภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน Prediabetes
- ผู้ที่ระดับน้ำตาลมากกว่า 200 มิลิกรัม% ถือว่าเป็นโรคเบาหวาน
เบาหวานชนิดที่หนึ่ง | เบาหวานชนิดที่สอง |
|
|
หลักการดูแลตัวเองสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
สำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่เพิ่งจะเป็นหรือเป็นมานาน
แต่ยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเบาหวานบทความที่ท่านอ่านอยู่นี้ อาจจะช่วยให้ท่านเข้าใจ และสามารถคุมเบาหวานได้ดีขึ้น หากว่าท่านคิดว่ามีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยเบาหวานกรุณาบอกต่อด้วยครับ เนื้อหาของบทความจะแบ่งเป็นหัวข้อดังนี้ และบางหัวข้อก็มีเรื่องย่อยอีกเป็นจำนวนมาก
- นิยามและการวินิจฉัย จะบอกท่านว่าเบาเกิดขึ้นได้อย่างไร มีอาการอะไรบ้าง และแบ่งชนิดของเบาหวานใหญ่ได้ 3 ชนิด ได้แก่ เบาหวานชนิดที่ 1 เบาหวานชนิดที่ 2 เบาหวานในหญิงตั้งครรภ์ อ่านให้หมดครับเป็นความรู้พื้นฐาน การวินิจฉัย เนื้อหาประกอบด้วยผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อเบาหวาน วิธีการเจาะเลือดเพื่อวินิจฉัยมีกี่วิธี การวินิจฉัยเบาหวานขณะตั้งครรภ์ และผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
- หลักการคุมโรคเบาหวาน เนื้อหา จะบอกเป้าประสงค์ของการคุมเบาหวาน ท่านจะทราบจะบทความนี้ว่าการคุมเบาหวานที่ดีไม่เพียงแค่ระคับน้ำตาลเท่านั้น แต่ยังประกอบด้วย การคุมน้ำหนักที่ดี ความดันที่เหมาะสม ระดับไขมันที่เหมาะสม และควรตรวจระดับไขมันถี่แค่ไหน รวมทั้งน้ำตาลสะสมคืออะไร ท่านจะทราบทั้งหมดจากบทความนี้การรักษาเบาหวานประกอบด้วย
- การคุมอาหารในผู้ป่วยเบาหวาน ท่านจะทราบว่าวันหนึ่งควรได้รับอาหารพวกแป้ง ไขมัน รวมทั้งโปรตีน เป็นปริมาณเท่าใด เมื่อใดที่เรียกว่าอ้วน และรายการอาหารตัวอย่าง
- การออกกำลังกายในผู้ป่วยเบาหวาน ท่านจะทราบประโยชนของกายออกกำลังกาย หลายท่านยังไม่ทราบว่าก่อนออกกำลังกาย ผู้ป่วยประเภทใดต้องตรวจร่างกายก่อนออกกำลังกาย วิธีการออกกำลังกาย รวมทั้งการเตรียมตัวออกกำลังกาย เหมาะมากสำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่จะออกกำลังกายไม่ควรพลาด
- การรักษาเบาหวานด้วยยา ท่านจะทราบเรื่องเกี่ยวกับยาเบาหวาน รวมทั้งผลข้างเคียง
- การประเมินการรักษา จะแนะนำเรื่องการตรวจเลือดหรือปัสสาวะด้วยตัวเอง
- การเรียนรู้และการดูแลรักษาตนเอง
- โรคเบาหวานกับโรคแทรกซ้อนได้แก่
- โรคเบาหวานกับโรคตา ท่านจะทราบแนวทางการปฏิบัติเพื่อดูแลตาของท่านิ ภาวะที่จะต้องรีบพบแพทย์ การป้องกันโรคแทรกซ้อน รวมทั้งโรคตาที่เกิดจากเบาหวาน
- โรคเบาหวานกับโรคไต ท่านจะทราบว่าท่านเริ่มมีโรคไตหรือยังโดยการตรวจไข่ขาวในปัสสาวะalbuminuria รวมทั้งการรักษา
- โรคเบาหวานกับโรคหัวใจและหลอดเลือด ท่านจะทราบปัจจัยเสี่ยงและการป้องกันรวมทั้งอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
- โรคเบาหวานกับความดันโลหิตสูง ท่านจะทราบว่าเมื่อไรจะเรียกความดันโลหิตสูง การรักษาความดันโดยที่ไม่ต้องใช้ยา
- โรคเบาหวานกับภาวะฉุกเฉิน ท่านจะทราบภาวะฉุกเฉินที่พบบ่อยได้แก่ ภาวะน้ำตาลต่ำ ช๊อกจากน้ำตาลสูง และภาวะ ketoacidosis รวมทั้งการป้องกัน
- โรคเบาหวานกับปลายประสาทอักเสบ ท่านจะทราบปลายประสาทชนิดต่างๆ และการป้องกัน
- โรคเบาหวานกับภาวะพิเศษได้แก่
- โรคเบาหวานกับคุณสุภาพสตรี ผู้ป่วยเบาหวานจะกินยาคุมกำเนิดได้หรือไม่ ผลของเบาหวานต่อหญิงวัยทองเป็นอย่างไร เชิญหาความรู้ได้ครับ
- โรคเบาหวานกับการท่องเที่ยว ท่านจะเตรียมตัวท่องเที่ยวอย่างไร หาคำตอบได้ครับ
- การดูแลตัวเมื่อเวลาป่วย เมื่อผู้ป่วยเบาหวานเจ็บป่วยท่านจะดูแลตัวเองอย่างไร เมื่อไรต้องรีบพบแพทย์
- โรคเบาหวานกับ aspirin
- โรคเบาหวานกับการดูแลช่องปาก
หลักการควบคุมโรคเบาหวาน
เป็นที่ทราบกันดีว่าการควบคุมโรคเบาหวานที่ดีสามารถลดโรคแทรกซ้อนได้ครึ่งหนึ่ง โดยเฉพาะโรคแทรกซ้อนที่เกิดกับ ตา [diabetic retinopathy] ไต [diabetic nephropathy] และปลายประสาทอักเสบ [diabetic neuropathy] การควบคุมโรคเบาหวานที่ดี ท่านผู้อ่านต้องรักษาความสมดุลของอาหาร การออกกำลังกาย และยาในการรักษาโรคเบาหวานขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ และชนิดของโรคเบาหวานที่ผู้ป่วยเป็น การรักษาและควบคุมโรคเบาหวานอย่างถูกต้องอาจช่วยป้องกันอาการโรคแทรกซ้อนต่างๆที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว
เป้าประสงค์ของการรักษาโรคเบาหวาน การควบคุมน้ำตาลให้ใกล้เคียงปกติจะ ทำให้เกิดผลดีหลายประการคือ
- สามารถลดโรคแทรกซ้อนเฉียบพลัน เช่น ภาวะคีโตซีส [ diabetic ketoacidosis],ช็อกจากน้ำตาลในเลือดสูง [hyperosmolar hyperglycemic nonketotic syndrome]
- ลดอาการเนื่องจากน้ำตาลในเลือดสูง ตามัว น้ำหนักลด หิวบ่อย เพลีย ช่องคลอดอักเสบ
- ลดโรคแทรกซ้อนทาง ตา [diabetic retinopathy]ไต [diabetic nephropathy] ปลายประสาทอักเสบ [neuropathy]
- ลดปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดแข็ง เช่นทำให้ไขมันในเลือดใกล้เคียงปกติ
แพทย์จะกำหนดว่าผู้ป่วยแต่ละคนที่ดูแลรักษาอยู่ควรจะควบคุมระดับน้ำตาล ความดันโลหิต ระดับไขมัน อยู่ในเกณฑ์เท่าใดขึ้นอยู่กับอายุ โรคร่วม พฤติกรรมการดำรงชีวิต ฐานะ ความร่วมมือตารางข้างล่างจะแสดงระดับเป้าหมายของความดัน น้ำตาล ไขมัน น้ำหนัก ดัชนีมวลกายและความถี่ของการตรวจ
การตรวจวัด | คนปกติ | เป้าหมาย | ระดับที่ต้องแก้ไข | ความถี่ของการตรวจ |
น้ำตาลหลังงดอาหาร 8 ชม. Fasting blood sugar | <110 (มก%) | 80-120 (มก%) | <80 หรือ >140 (มก%) | ทุกครั้งที่พบแพทย์ |
น้ำตาลหลังอาหาร 1 ชม. Post pandrial blood sugar |
| 100-160 (มก%) | <100 หรือ >160 (มก%) | ตามแพทย์สั่ง ใช้ในกรณี tight control |
น้ำตาลก่อนนอน Bedtime glucose | <120 (มก%) | 100-140 (มก%) | <100 or >160 (มก%) | ตามแพทย์สั่ง ใช้ในกรณี tight control |
น้ำตาลกลัยโคไซเลสเต็ด HbA1c | <6% | <7% | >8% | เบาหวานควบคุมดีตรวจปีละ 2 ครั้ง เบาหวานคุมไม่ดีตรวจปีละ 4 ครั้ง |
ความดันโลหิต | 120/80 | 130/85 mmHg | > 130/85 mmHg | วัดทุกครั้งที่พบแพทย์ |
LDL-Cholesterol | <130 (มก%) | <100 (มก%) | > 100 (มก%) | ถ้าปกติปีละครั้ง ถ้าผิดปกติตรวจตามแพทย์สั่ง |
HDL-Cholesterol | >45 (มก%) | >45(มก%) | <35(มก%) | ถ้าปกติปีละครั้ง ถ้าผิดปกติตรวจตามแพทย์สั่ง |
Triglyceride | <200(มก%) | <200 (มก%) | >200 (มก%) | ถ้าปกติปีละครั้ง ถ้าผิดปกติตรวจตามแพทย์สั่ง |
ดัชนีมวลกาย Body mass index | 20-25 | 20-25 | <20 or >25 | ชั่งน้ำหนักทุกครั้งที่พบแพทย์ |
ที่ผ่านมายังไม่มีการศึกษาผลการรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ สองต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนในระยะยาว จนกระทั่ง /ข- ปีที่ผ่านมามีการศึกษาถึงผลการรักษาโรคเบาหวานชนิดที่2 โดยมีประเด็นว่าการควบคุมเบาหวานแบบเข้มงวด intensive (คุมระดับน้ำตาลโดยให้ HbA1c<6.5 ว่าจะมีผลต่อการเสียชีวิตหรือโรคแทรกซ้อนอย่างไร ซึ่งพอจะสรุปผลดังนี้
- ผู้ป่วยที่เริ่มรักษาเบาหวานหลังจากเป็นมาไม่นาน
- ผู้ป่วยที่มีระดับ HbA1c สูงไม่มาก
- และยังไม่มีโรคแทรกซ้อนจากโรคหัวใจและหลอดเลือด
สามกลุ่มดังกล่าวจะต้องคุมเบาหวานให้ดีที่สุดเพราะจะลดการเกิดโรคแทรกซ้อนในระยะยาวลงได้โดยตั้งเป้า HbA1c<6.5 mg%
สำหรับผู้ป่วยดังต่อไปนี้การคุมเบาหวานแบบเข้มงวดจะทำให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น ได้แก่ผู้ป่วยกลุ่ม
- ผู้ที่เป็นเบาหวานมาในระยะเวลายาวนาน
- มีประวัติเกิดภาวะน้ำตาลต่ำ
- มีโรคหลอดเลือดแข็ง
- สูงอายุหรืออ่อนแอมาก
องค์ประกอบการรักษา
การรักษาเบาหวานให้บรรลุวัตถุประสงค์ข้างต้นต้องอาศัยองค์ประกอบดังนี้
โรคเบาหวานกับการประเมินด้วยตัวเอง
เป็นที่ทราบกันเป็นอย่างดีว่าการควบคุมเบาหวานให้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด สามารถป้องกันหรือชะลอการเสื่อมของ ตา ไต เส้นประสาทและหลอดเลือด การจะคุมเบาหวานให้ใกล้เคียงค่าปกติสามารถทำได้โดยการคุมอาหาร การออกกำลังกาย และยา การเจาะน้ำตาลในเลือดเมื่อไปพบแพทย์เดือนละครั้งหรือ 3-4 เดือนครั้งอาจจะไม่เพียงพอสำหรับผู้ป่วยบางราย บางรายที่คุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีจำเป็นต้องตรวจหาน้ำตาลด้วยตัวเองเพื่อวางแผนปรับอาหาร หรือยาเพื่อให้ได้ระดับน้ำตาลที่เหมาะสมซึ่งสามารถกระทำได้โดย
- การเจาะน้ำตาลโดยแพทย์
- ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตัวเอง [self monitor blood glucose]
- ตรวจระดับน้ำตาลในปัสสาวะ
- ตรวจ hemoglobin A1c
การตรวจน้ำตาลโดยแพทย์
ปัจจุบันเครื่องตรวจน้ำตาลด้วยตัวเองมีความแพร่หลายและมีการตรวจค่าน้ำตาลเฉลี่ยดังนั้นการตรวจน้ำตาล 3-4 เดือนครั้งหนึ่งไม่เพียงพอที่จะใช้ในการปรับยา อาจจะใช้ปรับยาในกรณีที่ใช้ยารับประทาน หากท่านไปพบแพทย์ตามนัดแพทย์จะเจาะหาระดับน้ำตาลในเลือดโดยอาจจะเจาะก่อนอาหารเช้า หรืออาจจะเจาะหลังอาหารเช้า และจะเจาะหาน้ำตาลเฉลี่ยปีละ 2 ครั้ง
การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตัวเอง [self monitor blood glucose, SMBG]
ผู้ป่วยบางท่านไม่มีความจำเป็นที่ต้องเจาะเลือดด้วยตัวเองที่บ้าน แต่ผู้ป่วยบางท่านมีความจำเป็นต้องเจาะเลือดที่บ้านวันละ 2-3 ครั้งสัปดาห์ละ 2-3 วันเพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน การเจาะเลือดวันละหลายครั้งทำให้ท่านทราบว่า เวลานั้นระดับน้ำตาลของท่านเป็นเท่าใด หากเจาะวันละหลายเวลายิ่งทำให้ทราบถึง การตอบสนองต่อการรักษาทำให้แพทย์สามารถปรับแผนการรักษาได้ดียิ่งขึ้น ควรที่จะมีการเปรียบเทียบระหว่างเครื่องที่ใช้กับเครื่องมาตรฐานว่าแตกต่างกันหรือไม่ น้ำตาลใน plasma จะสูงกว่าน้ำตาลในเลือดร้อยละ10-15
ใครควรได้รับการตรวจระดับน้ำตาลด้วยตัวเอง
- ผู้ป่วยเบาหวานที่กินหรือฉีดยารักษาเบาหวาน
- ผู้ป่วยเบาหวานที่ตั้งครรภ์
- ผู้ป่วยเบาหวานที่คุมระดับน้ำตาลได้ยาก
- ผู้ป่วยเบาหวานที่มีระดับน้ำตาลต่ำมาก หรือสูงมาก
- ผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลต่ำโดยที่ไม่มีอาการของน้ำตาลต่ำ
- ผู้ป่ายเบาหวานชนิดที่1
- ผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะเจ็บป่วย
ควรจะเจาะน้ำตาลเวลาไหนดี มีการเลือกเจาะหลายวิธี
- เจาะก่อนอาหาร และก่อนนอน เป็นการตรวจตามมาตรฐาน
- เจาะหลังอาหาร 1-2 ชม.จะมีผู้ป่วยบางรายที่ระดับน้ำตาลตอนเช้าหรือก่อนอาหารปกติแต่มีระดับ น้ำตาลหลังอาหารสูง ซึ่งต้องปรับเปลี่ยนการรักษา
- เจาะเลือดเมื่อมีอาการผิดปกติเมื่อคุณรู้สึกใจสั่นหน้ามือ เหงื่อออก เป็นลม ปัสสาวะบ่อย อ่อนเพลีย ซึม จะต้องเจาะเลือดเพื่อประเมินระดับน้ำตาลในเลือด
โดยทั่วไปแนะนำให้เจาะก่อนอาหารอาจจะเจาะ 3 มื้อเมื่อสามารถคุมระดับน้ำตาลได้ดีประมาณ 100 มก.%จึงเจาะหาระดับน้ำตาลหลังอาหารเพื่อปรับอาหาร การออกกำลังกาย และยาเพื่อคุมระดับน้ำตาลให้ได้ตามที่ต้องการตามตารางการควบคุมเบาหวานที่ดี
เจาะเลือดถี่แค่ไหนถึงจะดี
- ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่หนึ่งให้เจาะก่อนอาหารและก่อนนอนวันละ 4 ครั้งหลังจากคุมระดับน้ำตาลได้ดีจึงลดความถี่ลงเหลืออาทิตย์ละ 2-3 ครั้งให้เจาะหลังอาหาร
- ผู้ป่วยชนิดที่สองให้เจาะอย่างน้อยวันละครั้ง อาจจะก่อนหรือหลังอาหารหรือก่อนนอนก็ได้
วิธีเจาะเลือดหาระดับน้ำตาลด้วยตัวเอง
เป็นการตรวจอย่างคร่าวๆว่าสามารถคุมเบาหวานได้ดีเพียงใด ซึงสามารถทำได้ง่ายไม่เจ็บ แต่ไม่แม่นยำเท่าการเจาะเลือด ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่า 180 มก.%จึงสามารถตรวจพบน้ำตาลในเลือด ควรจะใช้กรณีที่ไม่สามารถเจาะเลือดด้วยตัวเองได้ การตรวจปัสสาวะสามารถตรวจดูระดับน้ำตาล และคีโตนในปัสสาวะ
ควรตรวจบ่อยแค่ไหน
- ผู้ป่วยเบาหวานที่กินยารักษาเบาหวาน
- ควรตรวจอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งเวลาก่อนอาหารเช้า และก่อนอาหารเย็น
- เมื่อมีอาการไม่สบาย เช่นเป็นไข้ ควรตรวจวันละ 4 ครั้งก่อนอาหาร และก่อนนอน
- เมื่อมีอาการสงสัยว่า ภาวะน้ำตาลในเลือดจะสูงหรือต่ำผิดปกติ ควรตรวจดูทันที
- ผู้ป่วยที่ฉีดอินซูลิน
- ควรตรวจวันละ 4 ครั้งก่อนอาหาร 3 มื้อและก่อนนอน อาจสลับตรวจหลังอาหารบ้าง ก่อนอาหารบ้าง
- ถ้าทำไม่ได้ให้ทำวันละครั้งตามแต่ชนิดของอินซูลินที่ฉีด
การแปลผล
- ถ้าตรวจปัสสาวะแล้วไม่พบน้ำตาล และผู้ป่วยไม่มีอาการ ก็ให้ถือว่าควบคุมได้ดี
- ถ้าตรวจปัสสาวะแล้วไม่พบน้ำตาล และผู้ป่วยมีอาการน้ำตาลต่ำ ก็แสดงว่าน้ำตาลต่ำ
- ถ้าตรวจแล้วพบว่ามีน้ำตาลบ้างไม่มีบ้าง ถือว่าพอใช้ได้
- ถ้าตรวจพบน้ำตาลเป็นปริมาณมากทุกครั้งแสดงว่าควบคุมไม่ดี
การตรวจคีโตน
การตรวจหาคีโตนในปัสาวะมีความสำคัญมากในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ โรคเบาหวานที่กำลังเกิดความเครียดเช่นการติดเชื้อ โรคหัวใจ หรือผู้ป่วยที่มีอาการของ ketoacidosisi หากพบคีโตนในปัสสาวะแสองว่ามีสาร hydroxybutyric acid,บงบอกว่าอาจจะเกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรง
การตรวจน้ำตาลในกระแสเลือดเป็นการตรวจหาน้ำตาลในขณะนั้นแต่การตรวจหา Hemoglobin A1c เป็นการตรวจค่าเฉลี่ยของน้ำตาลในระยะ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ค่าปกติของคนที่ไม่เป็นเบาหวานอยู่ที่ 5 มก.% ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมได้ดีควรอยู่ต่ำกว่า 7 มก.%หากค่า Hemoglobin A1c มากกว่า 8 จะต้องเปลี่ยนแปลงการรักษา เช่นการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย ความเครียด
ควรเจาะถี่แค่ไหน
- ผู้ป่วยที่ใช้อินซูลินควรตรวจปีละ 4 ครั้ง
- ผู้ป่วยที่ใช้ยากินควรตรวจปีละ 2 ครั้ง
- สำหรับคนที่ตั้งครรภ์หรือคนที่คุมเบาหวานยังไม่ดีอาจจะต้องเจาะถี่ขึ้น
ความสัมพันธ์ระหว่างระดับ HbA1c และระดับน้ำตาลในเลือด
HbA1c และระดับน้ำตาลในเลือด
HbA1c | ค่าเฉลี่ยน้ำตาล |
---|---|
6.0% | 126 mg/dl |
7.0% | 154 mg/dl |
8.0% | 183 mg/dl |
9.0% | 212 mg/dl |
10.0% | 240 mg/dl |
11.0% | 269 mg/dl |
12.0% | 298 mg/dl |
จากตารางจะพบว่า HbA1c มากกว่า 7 ระดับน้ำตาลเฉลี่ยในเลือดจะสูงเกิน 170 มิลิกรัม%ซึ่งต้องปรับการรักษา ดังนั้นในการรักษาเราจะคุมระดับ HbA1c ให้น้อยกว่า 7
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น