Clock


วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ภูมิต้านทานร่างกาย

ภูมิชีวิตImmune System คือระบบภูมิคุ้มกันทั้งหมดของ
ร่างกายที่ทำหน้าที่คอยป้องกันไม่ให้เชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอม
ที่เป็นอันตรายเข้ามาทำอันตรายต่อร่างกายหรือเมื่อหลุดเข้ามา
แล้ว ระบบภูมิคุ้มกันก็จะพยายามทำลายกำจัดสิ่งแปลกปลอมให้
หมดไปจากร่างกายโดยเร็วและอย่างมีประสิทธิภาพ

 หน้าที่โดยสังเขปของระบบอิมมูนร่างกายคือ

  - Defense ป้องกันและทำลายเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม
  - Homeostasis คอยกำจัดเซลปกติที่เสื่อมสภาพเช่นเม็ดเลือดที่มีอายุ
    มากแล้ว ออกจากระบบของร่างกาย
  - Surveillance คอยจับตาดูเซลต่างๆที่จะ  แปรสภาพผิดไปจากปกติ เช่น
    คอยดักทำลาย tumor cells เพื่อป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง
ความสามารถในการตอบสนองของระบบอิมมูนต่อสิ่งแปลกปลอมนั้น แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ทั้งนี้ขึ้นกับ
ปัจจัยบางอย่างดังต่อไปนี้
1. Genetic factors ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับแล้วว่า การตอบสนองทางระบบอิมมูนอยู่ภายใต้การควบคุมทาง
    genetic ดังหลักฐานการค้นพบไม่นานนี้ เกี่ยวกับ genetic complex บนโครโมโซม ซึ่งควบคุมการตอบ
    สนองทางอิมมูน และควบคุมชนิดของ histocompatibility antigens (ดูรายละเอียดในบท HLA และ
    โรคที่เกี่ยวข้อง) ตัวอย่างที่เห็นง่ายๆ คือคู่แฝดชนิดที่กำเนิดจากไข่ใบเดียวกัน (monozygotic twin) มักจะ
    เป็นโรคเดียวกัน มากกว่าคู่แฝดที่กำเนิดจากไข่คนละใบ (dizygotic twin) และโรคบางอย่างมักเป็นในกลุ่ม
    ชนเชื้อชาติหนึ่งมากกว่าอีกเชื้อชาติหนึ่งเป็นต้น
    ปัจจุบันเขื่อว่าโรคต่างๆ ในมนุษย์เกิดจากความล้มเหลวของ genes ที่ควบคุมการตอบสนองทางอิมมูน

2. Age factors เด็กเล็กๆ และผู้สูงอายุเกิดโรคต่างๆ ได้ง่ายกว่าในคนหนุ่มสาวทั้งนี้เพราะในเด็กเล็ก ๆ ระบบ
    อิมมูนยังเจริญไม่เต็มที่ขาด specific immunity ที่จะใช้ป้องกันโรค  ขณะเดียวกันระบบ non-specific
    immunity ก็บกพร่องด้วย เช่น ผิวหนังบางและกลไกการเกิดการอักเสบยังทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์เป็นต้น

เมื่ออายุมากขึ้น การทำหน้าที่ของระบบอิมมูนในร่างกายจะค่อยๆ ลดลงไป ในผู้สูงอายุปริมาณของอิมมูนโนโกลบูลิน
และการทำหน้าที่ของ cell mediated immunity จะน้อยกว่าคนหนุ่มสาว จะเห็นได้ว่า นอกจากผู้สูงอายุจะเป็น
โรคติดเชื้อได้ง่ายแล้ว อัตราการเกิดโรค autoimmune และโรคมะเร็ง จะมีมากกว่าในคนหนุ่มสาว

3. Metabolic factors ฮอร์โมนบางชนิด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการทำงานของระบบอิมมูน เช่น steroid
   จะมีฤทธิ์ยับยั้ง phagocytosis ลดการอักเสบ และลดการสร้างแอนติบอดีย์ จะเห้นได้ว่าผู้ป่วยที่ได้รับ steroid
   นานๆ จะเกิดโรคบางชนิดได้ง่ายกว่าคนทั่วไป เช่น โรคสุกใส (varicella), การติดเชื้อ staphylococus
   เป็นต้น

4. Environmental factors สิ่งแวดล้มก็มีความสำคัญ กลุ่มชนที่ยากจนจะมีอัตราการเกิดโรคต่างๆสูงกว่ากลุ่มชน
   ที่มีความเป็นอยู่ดีกว่า ทั้งนี้เนื่องจากสาเหตุหลายประการรวมทั้งการขาดอาหาร ซึ่งจะทำให้การทำงานของระบบ
   อิมมูนเลวลง (ดูรายละเอียดในบทโภชนาการกับความต้านทานของร่างกาย)

5. Anatomic factors ผิวหนังและเยื่อเมือกที่บุอวัยวะต่างๆทำหน้าที่เป็นด่านแรกที่ร่างกายใช้ป้องกันไม่ให้
   เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย (ดูรายละเอียดในเรื่อง non-specific immunity ของบทนี้) ในผู้ป่วยที่เป็น eczema
   หรือ burns คุณสมบัติดังกล่าวจะเสียไป เกิดการติดโรคและแพร่กระจายไปทั่วร่างกายได้ง่ายกว่าในคนปกติ

6. Microbial factors จุลชีพประจำถิ่น (normal flora) ที่อาศัยอยู่ในร่างกายมนุษย์ โดยไม่ทำให้เกิดโรค
   เช่นในลำไส้ นอกจากจะช่วยผลิตวิตามิน K ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ร่างกายแล้ว ยังช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของ
   จุลชีพที่ทำให้เกิดโรค (pathogenic microorganism) ได้ด้วย เมื่อใดก็ตามที่จุลชีพชนิดแรกถูกทำลาย
   เช่น ได้รับ broad-spectrum antibiotic จุลชีพให้เกิดโรคจะทวีจำนวนขึ้นเป็นผลร้ายแก่บุคคลนั้นได้

7. Physiologic fictors ที่มีอยู่ในร่างกายช่วยป้องกันโรคได้ เช่นน้ำย่อยในกะเพาะอาหาร ขนอ่อน (cilia)  
   ในระบบทางเดินหายใจ การขับถ่ายปัสสาวะ ฯลฯ (ดูรายละเอียดในบทความต้านทานของร่างกายต่อการติดเชื้อ)
   ถ้าสิ่งดังกล่าวผิดไปจากปกติ จุลชีพจะเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น

หลักการเรื่องภูมิต้านทานร่างกายนี้ได้ถูกนำมาใช้อธิบายทั้งในการรักษาและป้องกันโรคติดเชื้อต่างๆ  ใช้อธิบายกลไก
การเกิดการอักเสบ การซ่อมแซมของเนื้อเยื่อและการเกิดโรค ถึงแม้ปัจจุบันจะมี chemotherapeutic agentsและ
การรักษาในรูปแบบอื่นๆด้วยก็ตาม แต่ก็ล้วนเป็นเพียงการช่วยเสริมกลไกของระบบภูมิชีวิต-ภูมิต้านทานในร่างกาย
นั้นเอง  การผ่าตัดใหญ่ต่างๆก็ต้องพึ่งความรู้ด้าน immunohematology มาใช้ในการเลือกเลือดที่เหมาะและเข้า
กันได้ระหว่างเลือดของผู้ให้และเลือดของผู้รับ มิฉะนั้นจะเกิดอันตรายถึงชีวิตได้   การปลูกถ่ายเปลี่ยนอวัยวะก็ต้องใช้
ความรู้ทางด้านภูมิต้านทานร่างกาย (อิมมูโนวิทยา)   เข้ามาช่วยในการตรวจหาความเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อระหว่าง
ผู้รับและผู้ให้อวัยวะ เรียกว่าการทำ histocompatability matching  และในการควบคุมระบบภูมิต้านทานของ
ผู้รับเพื่อลดการต่อต้านต่อเนื่อเยื่อที่นำมาเปลี่ยนใหม่   ในปัจจุบันโรคเลือดที่สำคัญๆ ล้วนต้องใช้ความรู้เรื่อง อิมมูโน
วิทยาเข้ามาช่วยในการวินิจฉัยโรคและในการรักษา ตลอดจนใช้ในการอธิบายพยาธิกำเนิดของโรค โรคทางระบบ
ผิวหนัง  ระบบประสาท  ระบบทางเดินอาหาร  ระบบหายใจ  ระบบสืบพันธุ์  แม้ระบบต่อมไร้ท่อก็ต้องอาศัย
วิธิการทางอิมมูโนวิทยามาช่วยในการหาระดับฮอร์โมนในร่างกาย
 

วิธีการกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกายมนุษย์ แบ่งออกได้เป็น 2 ระบบใหญ่คือ


1. Non-specific immune response (ดูรายละเอียดในบทความต้านทานของร่างกายต่อการติดเชื้อ)
  เป็นการกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกายโดยวิธีการง่ายๆ เกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับสิ่งแปลกปลอมนั้นเป็นครั้งแรก
  หรือแม้ได้รับอีกในคราวต่อมา ร่างกายก็อาจใช้วิธีการนี้กำจัดสิ่งแปลกปลอมร่วมกับ specific immune response
    1.1 Barrier หรือเครื่องกีดขวางตามธรรมชาติ ซึ่งได้แก่ผิวหนัง เยื่อเมือก ซึ่งบุตามอวัยวะต่างๆ ขนอ่อน
         (cilia)  เมื่อสิ่งแปลกปลอมนั้นสามารถผ่าน barrier นี้เข้าไปได้จะถูกร่างกายกำจัดโดยใช้
          inflammatory response และ phagocytosis
    1.2 Inflammatory response เป็นการเคลื่อนย้ายของ phagocytic cell (neutrophilic
         granulocyte และ macrophage) มายังบริเวณที่มีสิ่งแปลกปลอม บริเวณนั้นจะมีลักษณะจำเพาะคือ
         ปวด บวม แดง ร้อน และจะพบว่าประมาณ 30-60 นาที หลังจากที่สิ่ง แปลกปลอมเข้าไป  เม็ดเลือดขาว
         จำพวก neutrophilic granulocyte จะเป็นพวกแรกที่มาถึงบริเวณนี้ โดยการลอดตัวผ่านออกทาง
         รอยต่อของ endothelial cell ของเส้นเลือดออกมาในเนื้อเยื่อ เพื่อจะมากินและทำลายสิ่งแปลกปลอมนั้น
         ประมาณ 4-5 ช.ม. หลังจากนั้นเซลล์อีกพวกหนึ่งคือ mononuclear cells ซึ่งได้แก่ Iymphocyte  
         จึงจะผ่าน endothelial cell  ออกมาแล้ว monocyte จะเปลี่ยนเป็น macrophage  ส่วนเม็ดเลือด
         ขาว Iymphocyte จะมาทำหน้าที่ specifie immune response ดังจะได้กล่าวต่อไป
    1.3 Phagocytosis หรือ cell-eating เมื่อพวก neutrophilic granulocytes และ macrophage
         มาถึง จะเคลื่อนตัวไปหาสิ่งแปลกปลอมนั้น (chemotaxis) แล้วประกบติด (attachment) ต่อมาจะกลืน
         (ingestion) แล้วจึงมีการย่อย (intracellular digestion) ด้วยกลไกหลายอย่างในเซลล์ แล้วจึงปล่อย
         สิ่งแปลกปลอมที่ถูกทำลายแล้วออกไปจากเซลล์ (elimination)

2. Specific immune response เป็นการกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่ต้องอาศัยกลไกที่ยุ่งยากกว่าวิธีแรก
  เกิดขึ้นเมื่อร่ายกายไม่สามารถใช้วิธี non-specific immune response กำจัดสิ่งแปลกปลอมนั้นออกไปได้
  เซลล์ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในด้านนี้คือ lymphocytes
     สิ่งแปลกปลอมในที่นี้มีชื่อเรียกใหม่ว่า แอนติเจน (antigen) หรืออิมมูโนเจน (immunogen) การตอบสนอง
     ดังกล่าว แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
    2.1 Humoral immune response คือการตอบสนองทางอิมมูนโดยการใช้สารน้ำ ซึ่งหมายถึง แอนติบอดีย์
         (antibody) เซลล์ที่รับผิดชอบในเรื่องน้คือ B Lymphocyte และ plasma cell นอกจากนี้ยังมีสารน้ำ
         อื่นๆ ช่วยส่งเสริมการทำงานของ specific immunity คือ complement (ดูรายละเอียดในบท  
         Complement)
    2.2 Cell-mediated immune response หรือ Cell-mediated immunity (CMI) เซลล์ที่รับผิดชอบ
         คือ Specifically Sensitized Lymphocyte (SSL) หรือ T lymphocyte ซึ่งมีหน้าที่ผลิตสาร  
         lymphokines (ดูรายละเอียดในบท Cellular Immunity)




Immune System
หรือระบบที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับภูมิต้านทานของร่างกายประกอบด้วยเซลหลายชนิดหลายพวกที่ทำหน้าที่ร่วมกัน
เซลที่ทำร่วมกันทำหน้าที่ป้องกัน กำจัดสิ่งแปลกปลอม สิ่งผิดปกติต่างๆเช่นเซลมะเร็ง ออกไปจากร่างกาย ได้แก่

Hemocytoblast
(hematopoetic stem cell)
 เป็นเซลต้นกำเนิดของเซลในกระแสโลหิต เช่น Red blood cell, Monocyte
 Polymorphonuclear leukocyte ( Neutrophil,eosinophil และ
 Basophil) Lymphocyte และ Megakaryocyte (เป็นเซลที่ทำการสร้าง
 เกล็ดเลือด (platelets)   ลักษณะนิวเคลียสมีขนาดใหญ่ มี chromatic เป็นร่าง
 แหบางๆ ทำให้เวลาย้อมนิวเคลียสติดสีฟ้าอ่อน  มี cytoplasm จำนวนเล็กน้อย
 ในไขกระดูก ( bone marrow ) จะพบเซลนี้ได้ประมาณ 0.5-1% ของเซล
เม็ดเลือดขาวชนิด
Neutrophil
 สร้างขึ้นในไขกระดูกเมื่อเปลี่ยนร่างมาถึงระยะ band shape / matrure
 neutrophil จึงจะหลุดมาอยู่ในกระแสเลือด ในกระแสโลหิตจะพบได้ประมาณ
60-65%  ลักษณะของนิวเคลียสเป็น lope (ประมาณ 2-5 lope)  cytoplasm
 ประกอบด้วย specific granule และ azurophilic granule จัดเป็นพวก
 phagocyte ใช้กำจัดสิ่งแปลกปลอมทั้งที่อยู่ในเนื่อเยื่อและในกระแสโลหิต  ปกติ
 จะไหลไปมาในกระแสเลือด จะเคลื่อนตัวไปยังแหล่งสิ่งแปลกปลอม จากสารดึงดูด
 chemotactic substance จากระบบคอมพลีเมนต์ /และจาก lymphocyte
เม็ดเลือดขาวชนิด
Eosiophil
 เป็นเซลที่ใน cytoplasm มี granule ย้อมติดสีส้มแดง ในกระแสโลหิตจะ
 พบได้ประมาณ 2-5%  จัดเป็นเซล phagocyte แต่จะเลือกกินเฉพาะ
 antigen-antibody complex  เท่านั้น  ในรายที่มี anaphylatic
 hypersensitivity หรือ มีพยาธิ์ (parasitic infection) จะพบว่ามีระดับ
 ของ eosinophil เพิ่มสูงขึ้นได้
เม็ดเลือดขาวชนิด
Basophil
 เป็นเซลที่ใน cytoplasm มี granule ขนาดใหญ่กว่าในกลุ่ม เดียวกัน
 ( neutrophil, eosinophil) granule ย้อมติดสีม่วงเข้ม ใน granule
 ประกอบด้วยสารสำคัญเช่น histamine และ SRS-A ( slow reaction
 substance of anaphylacxis) ที่ผิวมี receptor ต่อ IgE มีบทบาท
 สำคัญในเรื่องภาวะภูมิคุ้มกันไวเกิน (anaphylaxis)  ในกระแสโลหิตจะ
 พบได้ประมาณ 1-2%
เม็ดเลือดขาวชนิด
Monocyte
 เป็นเซลประเภท phagocyte  ใน cytoplasm ติดสีฟ้าอมเทาและมี 
 azurophilic  granule อยู่เป็นจำนวนมาก ลักษณะของ nucleus อาจ
 เป็น รูปไข่ หรือรูปเกือกม้า หรือรูปไต  ในกระแสโลหิตจะพบได้ประมาณ 3-5%
 จะมีชีวิตเฉลี่ยประมาณ 5-7 วัน ส่วนหนึ่งจะผ่านผนังหลอดเลือดเข้าไปอยู่ใน
 เนื้อเยื่อกลายเป็น macrophage  เมื่อมีสิ่งแปลกปลอม lymphocyte จะให้
 สารที่เป็นตัวเรียกให้ monocyte มาเพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมนั้นด้วยวิธีการ
 phagocytosis 
เม็ดเลือดขาวชนิด
Macrophage
 เป็นเซลที่มีความสามารถในด้าน phagocytosis สูง มีกำเนิดมาจากเซล
 monocyte ในกระแสเลือด มีรูปร่างไม่แน่นอนแตกต่างกันไปตามเนื้อเยื่อ
 ที่มันอาศัยอยู่ macrophage แบ่งออกเป็น 2 พวกใหญ่ๆ คือ
 fixed macrophage  อยู่ประจำที่ มีรูปร่างคล้ายกระสวยหรือดาว
 wandering macrophage มีนิวเคลียสคล้ายรูปไต เคลื่อนที่ไบที่ต่างๆ
 ในกรณีที่พบสิ่งแปลกปลอมที่มีขนาดใหญ่ เซลหลายๆตัวจะมารวมตัวกันเป็น
 เซลขนาดใหญ่ เรียกว่า giant cell  
เม็ดเลือดขาวชนิด
Mast cell
 เป็นเซลรูปไข่ มีขนาดใหญ่ ในส่วนของ cytoplasm จะมี basophilic
 granule มีลักษณคล้ายกับ basophil  มักจะอยู่ใน connective tissue
 ทั่วไป (ไม่ได้อยู่ในกระแสเลือด)  ใน granule มีสารพวก histamine และ
 SRS-A เป็นเซลทีทำให้เกิด anaphyactic hypersensitivity ด้วย
เม็ดเลือดขาวชนิด
Lymphocyte
 เป็นเซลรูปร่างกลม มี 3 ขนาดคือเล็ก กลาง ใหญ่ แต่ในกระแสเลือดจะพบ
 ขนาดเล็กเป็นส่วนใหญ่ nucleus ติดสีเข้ม มี cytoplasm น้อย ย้อมติด
 สีฟ้าอ่อน  lymphocyte เคลื่อนที่ได้  ในจำนวนเม็ดเลือดขาวในกระแสเลือด
 ทั้งหมดจะพบได้ประมาณ 20-25 %
 Lymphocyte แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดคือ
 T - lymphocyte  มีหน้าที่สำคัญในระบบ cellular immunity
 B - lymphocyte  มีหน้าที่สำคัญในระบบ humoral immunity
เม็ดเลือดขาวชนิด
Lymphoblast
 เป็นเซลตัวอ่อนของ lymphocyte มีขนาดใหญ่กว่า รูปร่างกลม ไม่มี
 azurophilic granule ใน cytoplasm  ส่วนใหญ่พบได้ใน germinal
 center ของ lymphoid follicle ใน lymph node ที่ถูกกระตุ้นด้วย
 แอนติเจน
เม็ดเลือดขาวชนิด
Plasma cell
 เป็นเซลรูปไข่ ที่มี cytoplasm ติดสีฟ้าเข้ม มี nucleus กลมและมี
 chromatin อยู่หนาแน่นแต่กระจายอยู่อย่างไม่สม่ำเสมอ
 ส่วนใหญ่พบได้ใน lymphoid follicle ที่ถูกกระตุ้นด้วยแอนติเจน
 เสมอๆเช่น intestinal mucosa หรือในบริเวณที่มีการอักเสบเรื้อรัง
 และในม้าม หน้าที่ของมันคือสร้างแอนติบอดีย์ ที่มาของพลาสม่าเซล
 กล่าวกันว่ามาจาก lymphocyte ที่ถูกกระตุ้นด้วยแอนติเจน



Cellular immunity

ภูมิต้านทานของร่างกายอาจแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ humoral immunity และ cellular immunity หรืออีกชื่อ
หนึ่งคือ cell-mediated immuniity เป็นภูมิต้านทานของร่างกายที่ต้องอาศัย "เซลล์" เป็นสำคัญ ตรงกันข้าม
กับ humoral immunity ที่อาศัยสารน้ำ (humor) คือ antibody หรือ immunoglobulin ซึ่งส่วนใหญ่
อยู่ในซีรั่ม
" เซลล์ " ดังกล่าวใน cellular immunity หมายถึง T lymphocyte (thymus-derived lymphocyte
 T cell) และอาจหมายถึง macrophage ด้วยก็ได้ การที่จะทำให้สัตว์มี humoral immunityต่อแอนติเจน
อย่างยึ่งโดยไม่ให้สัตว์ได้รับแอนติเจนชนิดนั้นเลย (passive cellular immunity) ทำได้ด้วยการให้ซีรั่มของ
สัตว์อีกตัวหนึ่งที่เคยได้รับแอนติเจนนั้นมาแล้ว (immune serum) แต่วิธีนี้สัตว์ตัวที่ได้รับ immune serum จะยังไม่มี passive cellular immunity ต่อแอนติเจน ต้องให้ T lymphocyte ซึ่งมักเตรียมได้จาก
peritoneal exudate, lymph node, spleen และ peripheral white blood cell thymus gland
เป็นอวัยวะที่ควบคุมการกำเนิดของ T lymphocyte การตัด thymus ออก (thymectomy) ตั้งแต่ระยะที่สัตว์
ยังเป็น fetus อยู่ในครรภ์หรือเพิ่งเกิดใหม่ๆ (neonates) จะทำให้สัตว์นั้นไม่มี cellular immunity เลย แต่
humoral immunity ยังมีอยู่ และจะทำให้ T dependent area ในต่อมน้ำเหลืองและม้ามไม่เจริญ

ในการตอบสนองบต่อแอนติเจนเกือบทุกชนิดจะมีทั้ง cellular immunity และ humoral immunity เกิดขึ้นไป
ด้วยกันเสมอ แต่แบบใดจะมากว่ากันย่อมต้องแล้วแต่ชนิดและขนาดของแอนติเจนที่ร่างกายได้รับ T cell ดูจะไวต่อ
การกระตุ้นด้วยแอนติเจนมากกว่า B cell เพราะแอนติเจนขนาดน้อยๆ หรือแอนติเจนที่มี poor antigenicity
กระตุ้น T cell ได้ในขณะที่ไม่อาจกระตุ้น B cell ได้  ส่วนใหญ่ cellular immune response จะเกิดขึ้นหลัง
จากที่แอนติเจนผ่าน macrophage processing (macrophage preparation) มาแล้ว มีบ้างเหมือนกันที่
แอนติเจนเข้าไปกระตุ้น T lymphocyte โดยตรง แต่การตอบสนองที่เกิดขึ้นจะไม่ดีเท่าหรืออาจไม่มีการตอบสนอง
เกิดขึ้นเลยก็ได้

T lymphocyte มีหลาย subpopulation เท่าที่พอทราบกันในปัจจุบัน มี

 helper T cell   ทำหน้าที่ส่งเสริมระบบ humoral immune response คือ
 ช่วย B lymphocyte ในการตอบสนองทางอิมมูน)  และมีส่วน
 ช่วย cellular immune response ด้วย
 suppresssor T cell  ทำหน้าที่ตรงกันข้ามและเป็นเซลต่าง sub population กัน
 มีหน้าที่ควบคุม B lymphocyte และ T lymphocyte ไม่ให้
 ทำงานมากเกินไป
  killer T cell
 (cytotoxic T cell)
 ทำหน้าที่ทำลาย antigenic cell เป็นคนละ suppopulation
 กับ helper T cell
 T lymphocyte ที่หลั่ง
  lymphokines
 เพื่อใช้ในระบบ cell mediated immunity บางรายงานระบุ
 ว่า cytotoxic T lymphocyte ก็อาจจะเป็นเซลที่หลั่งเจ้าตัว
 lymphokines ด้วย
 memory T cell  อาจมาจาก T lymphocyte หลาย sub population ทำงาน
 ร่วมกับ sub population อื่นทำให้เกิด killer T cell ได้อย่าง
 รวดเร็ว ช่วยให้ killer T cell สามารถกำจัด target cell ดีขึ้น
 ทำหน้าที่จดจำแอนติเจนต่างๆที่เคยเข้าสู่ร่างกายมาแล้ว เซลที่รู้จัก
 แอนติเจนแล้วจะเรียกใหม่ว่า SSL -specifically sensitized
 lymphocyte 
ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม (แอนติเจน) ทางด้าน cellular immunity นอกจากอาศัย T killer cell โดยตรงแล้ว ยังมี
เซลที่มีความสำคัญไม่น้อยกว่า T cell  ก็คือ macrophage ซึ่งจะถูกกระตุ้นให้มีฤทธิ์ทางด้าน phagocytosis
มากขึ้น โดยสาร lymphokine ที T lymphocyte หลั่งออกมา
Cellular immunity มีความสำคัญในการต่อต้านโรคติดเชื้อที่เกิดจาก intracellular  bacteria เช่น แบคทีเรีย
Mycobacterium tuberculosis ที่ทำให้เกิดโรควัณโรค / Mycobacterium leprae ที่ทำให้เกิดโรคเรื้อน
Brucella ที่ทำให้เกิดโรค Brucellosis / Salmonella typhi  ที่ทำให้เกิดโรค Typhoid / โรคติดเชื้อที่เกิด
จากเชื้อไวรัสเกือบทุกชนิด / โรคติดเชื้อรา
นอกจากนี้ยังทำหน้าที่คอยตรวจตราและคอยทำลายเซลของร่างกายที่เปลี่ยนไปเป็น tumor cell  เรียกการทำหน้าที่
นี้ว่า tumor surveillance หรือ immune surveillance ในขณะเดียวกัน cellular immune response
อาจให้โทษแก่ร่างกายได้โดยทำให้เกิดโรคภูมิแพ้บางอย่าง เช่น contact dermatitis (ภาวะภูมิคุ้มกันไวเกิน) เป็น
ตัวการทำให้เกิดการต่อต้านต่อเนื้อเยื่อใหม่ที่นำมาปลูกถ่าย เรียก graft rejection และทำให้เกิด graft versus
host eraction ที่อาจทำให้ผู้ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ ถึงแก่ชีวิตได้



Humoral immunity
humoral immunity ที่อาศัยสารน้ำ (humor) คือ antibody หรือ immunoglobulin ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในซีรั่ม
แอนติบอดีย์ คือสารโปรตีนที่อยู่ในเลือดส่วนซีรั่ม เกิดจากการตอบสนองของร่างกายต่อแอนติเจน และจะทำปฏิกริยาที่มี
ความจำเพาะกับแอนติเจนหนึ่งๆเท่านั้น  แอนติบอดีย์อยู่ในซีรั่มเป็นส่วนของโปรตีนที่เรียกว่า แกมม่าโกลบูลิน (gamma
globulin) และเป็นส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับภูมิต้านทานของร่างกายจึงเรียกว่า อิมมูโนโกลบูลิน Immunoglobulin
หรือย่อว่า Ig  ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 5 ชนิดคือ IgG / IgA / IgM / IgD / IgE
แอนติบอดีบ์เป็นผลผลิตของ พล่าสม่าเซล (plasma cell) และ lymphocyte นอกจากพบในซีรั่มแล้วยังพบในสาร
คัดหลั่งอื่นๆของร่างกาย  ในเนื้อเยื่อ เช่น ในปัสสาวะ น้ำไขสันหลัง น้ำนม น้ำลาย น้ำตา ต่อมน้ำเหลือง น้ำอสุจิ เป็นต้น

การสร้างสารภูมิต้านทาน-แอนติบอดีย์ มาจากเม็ดเลือดขาวชนิด B-lymphocyte โดยที่มันจะพร้อมที่จะตอบสนองต่อ
สิ่งแปลกปลอมที่มีความจำเพาะต่อมัน โดยเมื่อเจ้าสิ่งแปลกปลอมหรือแอนติเจน มาพยกับ B-lymphocyte จะทำให้เม็ด
เลือดขาวเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้าน proliferation และ differentiation ทำให้เกิดเป็นกลุ่มของ lymphocyte
ที่สามารถผลิตแอนติบอดีย์ (antibody) ที่มีฤทธิ์จำเพาะต่อกับแอนติเจนหรือสิ่งแปลกปลอมนั้นเท่านั้น

ชนิดและคุณสมบัติของแอนติบอดีย์
อิมมูโมนโกลบูลินหรือแอนติบอดีย์ในระบบ humoral immunity แบ่งออกได้เป็น 5 กลุ่มใหญ่ๆคือ
IgG / IgA / IgM / IgD / IgE

 IgG   เป็นอิมมูโนโกลบูลินที่มีมากที่สุดในซีรั่ม
 - หน้าที่สำคัญคือช่วยร่างกายต่อสู้กับ bacteria / virus / toxin
   เป็นส่วนใหญ่
 - เป็นแอนติบอดีย์ที่ถูกสร้างขึ้นมามากที่สุดเมื่อมีการพบสิ่งแปลกปลอม
   ในระบบซ้ำ (secondary immune response) 
 IgA  เป็นอิมมูโนโกลบูลินหรือแอนติบอดีย์ที่พบในซีรั่ม และในสารคัดหลั่งต่างๆ
 ของร่างกาย โดยในซีรั่มจะพบได้ประมาณ 1/6 ของ IgG
 ส่วนในสารคัดหลั่งเช่นน้ำนม  น้ำลาย น้ำตา สารคัดหลั่งในระบบทางเดิน
 อาหาร เป้นต้น
 - ช่วยป้องกันการติดเชื้อในบริเวณเยื่อเมือก (mucosal surface) ของ
   ระบบทางเดินอาหาร/ระบบทางเดินหายใจ   ด่านแรกของการป้องกัน
 - ปกติ IgA จะพบมากในสารคัดหลั้งสูงมากกว่าตัวอื่นๆ
 - จะเพิ่มระดับสูงขึ้นมากในผู้ป่วยที่มีการอักเสบของระบบทางเดินอาหาร
 IgM  เป็นสารอิมมูโนโกลบูลิน/แอนติบอดีย์ตัวเรกที่สร้างขึ้นเมื่อพบกับแอนติเจน
 เป็นสารอิมมูโนโกลบูลินชนิดแรกที่ทารกเริ่มสร้างได้เอง โดยหากทารกมี
 การติดเชื้อตั้งแต่ในครรภ์มารดาจะตรวจพบได้ในระดับสูง
 เป็นสารอิมมูโนโกลบูลินที่มีความจำเพาะพิเศษต่อlipopolysaccharide
 ของแบคทีเรียชนิดแกรมลบ (เป็นตัวสำคัญในการกำจัดแบคทีเรียกลุ่มนี้)
 IgD  พบได้น้อนมากในซีรั่ม
 เชื่อว่าช่วยควบคุมการตอบสนองทางอิมมูน
 แอนติบอดีย์ในโรคออโตอิมมูนเป็นชนิด IgD
 IgE  ตรวจพบเป็นตัวล่าสุด พบได้ในสารคัดหลั่งของร่างกาย พบในซีรั่มได้น้อย
 หน้าที่สำคัญเป็นตัวร่วมที่จะทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ ชนิด anaphylaxis
 หรือ type I hypersensitivity (ภูมิคุ้มกันไวเกิน ชนิด ที่หนึ่ง)
 ตรวจพบได้ในระดับสูงกว่าปกติในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อพยาธิ์ในร่างกาย

การผสานกันในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกาย

โดยปกติแล้วในการสร้งแอนติบอดีย์หรือภูมิต้านทานต่อสิ่งแปลกปลอมหรือแอนติเจนที่เข้ามาในร่างกายนั้นจะเป็นการ
ผสานกันระหว่าง B-lymphocyte / T-lymphocyte แลพ Macrophage โดยตัวที่ทำหน้าที่ผลิตแอนติบอดีย์
เพื่อตอบสนองต่อแอนติเจนนั้นเป็นหน้าที่ของ พลาสม่าเซล (plasma cell)  ซึ่งถือกำเนิดมาจาก B-lymphocyte
โดยแอนติเจนในธรรมชาติส่วนใหญ่ในการกำจัดออกจะเป็นการอาศัยความช่วยเหลือร่วมมือกันจาก helper T cell และ
macrophage 
โดยเมื่อเจ้าสิ่งแปลกปลอมหรือแอนติเจนที่เข้าสู่ร่างกายจะไปทำปฏิกริยากับ macrophage
แบบไม่จำเพาะเจาะจงก่อนโดย macrophage จะมีการเตรียมแอนติเจนนั้นให้พร้อมเพื่อส่งให้
กับ T lymphocyte ที่ส่วนผิวของ T cell จะมีส่วนที่คอยจับกับแอนติเจนนั้นเรียกว่า T cell antigen receptor เมื่อ T cell antigen receptor จับกับแอนติเจนเป็นที่เรียบร้อยแล้วจะ
ปล่อยตัวเองออกจากผิวของ T cell มาจับกับ macrophage ที่ส่วน Fc receptor บนผิวของ
macrophage แทน  จากนั้น macrophage ก็จะพาไปพบกับ B lymphocyte ซึ่งเจ้า
B cell นี้ก็จะจับกับเจ้าแอนติเจน-สิ่งแปลกปลอมไว้โดยใช้ส่วนที่ผิวที่เรียกว่า surface
immunoglobulin และจะเริ่มตอบสนองต่อแอนติเจนนั้นโดยการเริ่มเพิ่มจำนวน (proliferation)
และเปลี่ยนรูปร่าง (differentiation) เป็นพลาสม่าเซล (plasma cell) และพลาสม่าเซลก็จะเริ่ม
ผลิตแอนติบอดีย์ที่มีฤิทธิ์จำเพาะต่อสิ่งแปลกปลอมนั้น-แอนติเจน ออกมา

ค่อยๆอ่านและลองทำความเข้าใจดูท่านจะพบว่า เป็นเรื่องละเอียดซับซ้อนและผสมผสานร่วมมือกันเพื่อพยายามกำจัด
สิ่งแปลกปลอมหรือแอนติเจนที่เข้ามาในร่างกายเรา หากระบบภูมิต้านทานของเราไม่สามารถรีบกำจัดเจ้าสิ่งแปลกปลอม
ออกไปจากระบบโดยเร็วได้ ปล่อยให้เชื้อโรคนั้นสามารถแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเราก็จะป่วยจากเชื้อนั้น
ขึ้นได้ จากจุดนี้หลายท่านเริ่มเข้าใจถึงขบวนการของร่างกายในการต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอม เชื้อโรคร้ายรอบๆตัวเราที่
พยายามบุกรุกเข้ามาในร่างกายเรา โดยใช้ช่องทางทางปาก ระบบทางเดินอาหาร / จมูก ระบบทางเดินหายใจ / ผิวหนัง
ที่เกิดเป็นแผล หรือช่องทางเปิดอื่นๆ เช่น หู ตา ช่องทวานหนัก ช่องคลอด ทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น 
เมื่อระบบภูมิต้านทานของเราเป็นปกติดี เราก็สามารถกำจัดเจ้าแอนติเจนสิ่งแปลกปลอมออกไปจากระบบได้ทัน เราก็ไม่
เกิดอาการเจ็บป่วยใดๆ หากแต่เมื่อระบบภูมิต้านทานของเราอ่อนแอลง เมื่อยล้า จากสาเหตุต่างๆข้างต้น โดยที่เห็นได้ชัด
เช่นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเอดส์ เป็นตัวอย่างชัดเจนว่าเมื่อภฺมิคุ้มกันร่างกายถูกทำลายจากเชื่อไวรัส HIV เมื่อภูมิ
คุ้มกันลดลง ทำให้เกิดการป่วยจากโรคช่วยโอกาสต่างๆที่อยู่รอบตัวเรารุกเข้ามาทำให้เกิดการเจ็บป่วยด้วยดรคต่างๆมาก
มาย ซึ่งโรคเหล่านี้จะไม่สามารถทำอันตรายกับคนที่มีภูมิคุ้มกันปกติได้เลย เช่น โรคผิวหนังเรื่อรัง  เชื้อรา  วัณโรค การ
ติดเชื้ออื่นๆได้ง่ายขึ้น ติดเชื้อเริม  มะเร็งผิวหนัง อื่นๆ เป็นต้น

เราเพียงดูแลปฏิบัติตนตามแนวธรรมชาติบำบัดแบบองค์รวม ด้วยตัวของเราเอง อย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้นท่านมีส่วน
ช่วยเสริมภูมิต้านทานร่างกาย ภูมิคุ้มกันชีวิตให้มีสภาพแข็งแรงสมบูรณ์   พร้อมที่จะทำลายสิ่งแปลกปลอมที่พยายามบุก
รุกเข้ามาในร่างกายเราอยู่ตลอดเวลา  เมื่อเรากำจัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราก็ไม่มีการเจ็บไข้ได้ป่วย หรือติดเชื้อหรือ
ป่วยได้ยากกว่าผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอกว่า  จุดนี้ก็สามารถอธิบายให้เห็นได้อีกอย่างว่าในการเกิดการระบาดของโรคเช่น
โรคหวัด ผุ้ที่มีภูมอคุ้มกันต่ำก็จะป่วยได้อย่างทันทีเมื่อได้รับเชื้อ ในขณะที่คนที่มีภูมิต้านทายนปานกลาง อาจต้องใช้เวลา
ในการรับเชื้อหลายวันกว่าจะเริ่มเกิดอาการป่วย  และไม่เกิดความผิดปกติเลยในผู้ที่มีระบบภูมิตุ้มกันที่แข็งแรงแม้จะได้รับ
เชื้อเหมือนๆกัน

เห็นประโยชน์แล้วมาเริ่มปฏิบัติตัวดูแลและเสริมระบบภูมต้านทานของร่างกายกันดีกว่า....

 ภูมิคุ้มกัน  การกำจัดสิ่งแปลกปลอม      
กองบรรณาธิการ นิตยสารหมอชาวบ้าน
--------------------------------------------------------------------------------
รอบ ๆ ตัวเราเต็มไปด้วยเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อโรคเล็ก ๆ มากมายที่ตาของเรา มองไม่เห็น มนุษย์ต้อง
สัมผัสกับเชื้อโรค ตั้งแต่อยู่ในครรภ์
คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า รอบ ๆ ตัวเรามีเชื้อโรคมากมาย และในแต่ละวันเราก็สัมผัสกับเชื้อโรคอย่างนับไม่ถ้วน
ทำไมเราไม่เจ็บป่วยเพราะเชื้อโรคเหล่านั้น หรือหากจะเจ็บป่วยบ้างแต่ก็ไม่บ่อยนัก
การที่เราไม่เจ็บป่วยง่าย ๆ เพราะร่างกายมีภูมิคุ้มกัน (หรือภูมิต้านทาน) คอยปกป้องอยู่ ภูมิคุ้มกัน เป็นกลไกการ
ป้องกันตนเองอย่างหนึ่งของร่างกาย เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย และอาจเป็นโทษ ระบบภูมิคุ้มกัน ก็จะ
ออกมาต่อต้าน หรือทำลายสิ่งแปลกปลอมนั้น ร่างกายจึงอยู่ได้อย่างปกติสุข

เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักกับภูมิคุ้มกันดีขึ้น ว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร หากเราจะเสริมสร้าง ภูมิคุ้มกัน
จะทำได้อย่างไร "หมอชาวบ้าน" ฉบับนี้ จึงได้เชิญ ศ.ดร.อานนท์ บุณยะรัตเวช ผู้เชี่ยวชาญ จากภาควิชาพยาธิวิทยา
คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มาตอบคำถาม และให้ความรู้กับท่านผู้อ่านด้วยภาษาที่อ่านเข้าใจง่าย

กลไกการทำงานของภูมิคุ้มกัน
การทำงานของภูมิคุ้มกันเรียกรวมกันว่า ระบบภูมิคุ้มกัน (immune system) ในการทำงาน แบ่งเป็น 2 ระบบ
คือ อาศัยเซลล์โดยตรง และอาศัยเซลล์โดยอ้อม ซึ่งทำงานสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน เรียกว่ารวมกันเป็นกองกำลังติดอาวุธ
และประจัญบาน ต่อต้านผู้บุกรุก ไม่ให้รุกรานร่างกาย

ภูมิคุ้มกันที่อาศัยเซลล์โดยตรง คือ เมื่อมีเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย และเม็ดเลือดขาวไปพบเข้า ก็จะจับกินทำลายเสีย
เปรียบกับการประจันหน้าศัตรู และใช้กำลังเข้าห่ำหั่นกัน
ภูมิคุ้มกันที่อาศัยเซลล์โดยอ้อม คือ เมื่อเชื้อโรคเข้ามา เซลล์จะสร้างสารต่อต้าน สิ่งแปลกปลอมขึ้นมา เรียกว่า แอนติบอดี
(antibody) แอนติบอดีจะไปจับกับสิ่งแปลกปลอม เหมือนแม่กุญแจ กับลูกกุญแจ ทำให้สิ่งแปลกปลอมไม่สามารถ
แผลงฤทธิ์กับร่างกายได้

การสร้างสารภูมิคุ้มกันนั้น ในขั้นแรกเมื่อมีเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมเข้ามา จะมีเซลล์ไปทำความรู้จัก กับเชื้อโรค
แล้วบรรจุข้อมูล ส่งไปให้เซลล์ที่มีหน้าที่สร้าง สารต่อต้าน หากเคยรู้จักแล้ว ก็จะสร้างสารต่อต้านออกมาเลย แต่ถ้ายัง
ไม่เคยรู้จักเลย ก็จะต้องส่งต่อไปให้เซลล์อีกตัวถอดรหัสก่อน เพื่อที่จะสร้างสารต่อต้าน ให้ถูกชนิดกับเชื้อโรคที่เข้ามา

สารภูมิคุ้มกัน (แอนติบอดี) แต่ละชนิดจะมีอายุไม่เท่ากัน บางชนิดก็อยู่ได้ไม่นาน บางชนิดก็อยู่ได้หลายปี บางชนิดก็
อยู่ได้ตลอดชีวิต เช่น วัคซีนหัดเยอรมัน ที่คุ้มกันได้ตลอดชีวิต


ทำไมจึงไม่สบาย
ในเมื่อร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ทำไมบางครั้งเราจึงเจ็บป่วย ได้อีก คุณเคยสงสัยหรือเปล่าว่า ทำไม
บางคนจึงแข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บป่วย แต่บางคนอ่อนแอไม่สบายบ่อย อะไรเป็นปัจจัย ให้แต่ละคนมีความต้านทานโรค
ต่างกัน

ความเจ็บไข้ได้ป่วยหรือความต้านทานโรคที่ต่างกันขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย กรรมพันธุ์ ปัจจัยนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่ละคน
มีระบบภูมิคุ้มกันที่ได้รับการถ่าย ทอดจากพ่อแม่ ฉะนั้นหากพ่อแม่มีระบบภูมิคุ้มกันที่ดี ลูกก็ย่อมจะมีภูมคุ้มกันที่ดีด้วย
หากพ่อหรือแม่มีภูมิคุ้มกันบางจุดบกพร่อง ลูกก็อาจได้รับถ่ายทอด ในจุดที่บกพร่องได้ เช่นกัน แต่โดยทั่ว ๆ ไปภูมิคุ้มกัน
ก็จะได้มาตรฐานระดับหนึ่ง
สุขภาพร่างกาย คนที่มีสุขภาพร่างกายอ่อนแอ ไม่ค่อยออกกำลังกาย กินอาหารไม่ ครบหมู่ ขาดการดูแลสุขภาพ เมื่อได้รับ
เชื้อโรค ร่างกายจะต้องสร้างสารภูมิคุ้มกัน ได้เร็วและมากพอจึงจะกำจัดเชื้อโรคได้ ถ้าร่างกายอ่อนแอก็ทำให้ระบบอ่อน
ไปการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายก็ไม่ค่อยดี จึงเกิดความเจ็บป่วยขึ้น

นอกจากการไม่ดูแลสุขภาพแล้ว การติดสารเสพติอ ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ก็ทำลายสุขภาพด้วย


เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
ถึงแม้แต่ละคนจะมีภูมิคุ้มกันที่ได้รับถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ต่างกัน แต่ก็สามารถมีภูมิคุ้มกันที่ดีได้ เหมือนกัน หากมัว
แต่คิดว่า ปัจจัยทางพันธุกรรมแล้วไม่สู้โรค ก็เหมือนเป็นการซ้ำเติม ทำให้ร่างกาย อ่อนแอลงไปอีก แต่ถ้าไม่ยอมแพ้
ธรรมชาติ พยายามสร้างเสริมบางอย่างก็อาจจะดีขึ้น หรือการแพ้บางอย่างอาจจะหายไปเลยก็ได้

การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันก็มีหลักง่าย ๆ ดังนี้ อาหาร กินอาหารให้ครบทุกหมู่และเพียงพอ และอาหารที่กินควรมีคุณภาพ
ดี เช่น สด สะอาด ปนเปื้อนน้อยที่สุด ไม่กินอาหารหมักดอง อาหารที่ทอดหรือย่าง จนไหม้เกรียม ออกกำลังกาย
การออกกำลังกายจะทำให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น มีการแตก แขนงของหลอดเลือดในเนื้อเยื่อต่าง ๆ มากขึ้น ทำให้
เม็ดเลือดขาวหรือภูมิคุ้มกัน เข้าสู่ในเนื้อเยื่อต่าง ๆ ได้ง่าย เมื่อมีเชื้อโรคเข้ามาก็เข้าไปจัดการได้เร็ว ทำจิตใจให้เบิกบาน
จิตใจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน หรือสารสุขในร่างกาย สารนี้พอหลั่งออกมาทำให้ระบบการทำงาน
ของเซลล์ดีขึ้น ในทางตรงข้ามหากจิตใจห่อเหี่ยว เศร้า เป็นทุกข์ ร่างกายจะหลั่งสารทุกข์ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงาน
ได้ไม่ดี ร่างกายอาจเจ็บป่วยได้ สารเอ็นดอร์ฟินจะหลั่งเมื่อจิตใจมีความสุข สงบ เบิกบาน ฉะนั้นการคิดแต่สิ่งดี ๆ คิด
ช่วยเหลือผู้อื่น คิดในด้านบวก ก็เป็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเช่นกัน


สรุป
ถ้ามองในเรื่องของภูมิคุ้มกันว่าเป็นสิ่งจำเป็นของชีวิตมนุษย์ ตอบได้เลยว่าจำเป็นมาก เป็นสิ่งที่ควบคู่กับการมีชีวิตอยู่
เพราะในการดำรงชีวิตจะต้องมีสิ่งแปลกปลอมจากตัวเรา ฉะนั้นเราจะต้องมีกระบวนการจำแนกแยกแยะว่าสิ่งไหน
เป็นของตัวตน ถ้าสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน เข้ามาในร่างกาย ก็ต้องจำแนกได้ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์หรือไม่ มีคุณหรือ
มีโทษ ถ้ามีโทษก็ต้องมีกระบวนการที่จะทำลายหรือว่าต่อต้านฤทธิ์ของสิ่งแปลกปลอม นี้คือระบบของภูมิคุ้มกัน

ในส่วนของการทำให้ภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น โดยธรรมชาติมันมีอยู่แล้ว แต่ว่าเราอาจจะเสริม คือทำให้สุขภาพอนามัยดี
มีจิตใจที่ดีงาม ไม่พาตัวเองเข้าไปในที่ที่เสี่ยงต่อการถูกท้าทาย ภูมิคุ้มกัน เช่น สถานที่มีเชื้อโรคเยอะ ที่อากาศไม่ถ่ายเท
หรือสถานที่แออัด สิ่งแวดล้อมไม่สะอาด เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องช่วยกันจัดการให้มีมลภาวะน้อยที่สุด

ภูมิคุ้มกันเป็นเรื่องของการติดตัวมาตั้งแต่เกิด เมื่อเกิดมาแล้วต้องดูแลตัวเองให้ดี เมื่อดูแลตัวเองแล้วทำงานทำการก็ต้อง
ช่วยเหลือสังคมด้วย


คำถามน่ารู้ 
ร่างกายเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันตั้งแต่ตอนไหน
ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่เลย เพราะเราอยู่ในโลกของสิ่งแปลกปลอมตลอดเวลา เซลล์ที่สร้างภูมิคุ้มกัน ตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์
ในช่วงเดือนแรก ๆ ที่ทารกยังสร้างภูมิคุ้มกันเองไม่ได้ ทารกจะได้รับสารภูมิคุ้มกันจากทางรก เมื่อทารกคลอดออกมา
แล้ว ภูมิคุ้มกันจากแม่ ก็ยังสำคัญอยู่ โดยภูมิคุ้มกันจะอยู่ ในน้ำนม ฉะนั้นแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ลูกจะได้รับภูมิคุ้มกัน
จากแม่ด้วย

ทำไมเด็กจึงเป็นหวัดมากกว่าผู้ใหญ่
ไข้หวัดเกิดจากเชื้อไวรัสกว่า 200 ชนิด เมื่อเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายจะสร้าง สารภูมิคุ้มกันขึ้นมา
ครั้งต่อไปหากเป็นเชื้อตัวเดิมร่างกาย ก็จะมีสารภูมิคุ้มกัน จึงไม่ป่วยด้วยไข้หวัด  สาเหตุที่เด็กป่วยเป็นหวัดมากกว่า
ผู้ใหญ่ เพราะเด็กเคยได้รับเชื้อหวัดน้อยกว่าผู้ใหญ๋ จึงมีสาร ภูมิคุ้มกันน้อยกว่า แต่เมื่อเด็กโตขึ้นภูมิคุ้มกันจะถูกกระตุ้น
มากขึ้น ดังนั้นผู้ใหญ่จึงเป็นหวัดน้อยกว่าเด็ก

ยาบางชนิดมีผลข้างเคียงต่อการสร้างภูมิคุ้มกันหรือไม่
มีผล ยาบางอย่างไปกดไม่ให้สร้างภูมิคุ้มกัน ยาบางอย่างจะไปรบกวนการทำงาน ของระบบภูมิคุ้มกัน พอถูกรบกวน
เซลล์ก็งง เลยทำหน้าที่ไม่ดี
ยาที่มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน เช่น สตีรอยด์ ยาที่รักษามะเร็ง พวกเคมีบำบัด ที่รักษาโรคมะเร็ง

ภูมิคุ้มกันนอกจากมีประโยชน์แล้วมีโทษหรือไม่
มีครับ คนที่มีภูมิคุ้มกันมากไปจะเป็นโรคภูมิแพ้ เพราะไวต่อสิ่งกระตุ้น (เช่น ฝุ่น,เกสรดอกไม้, ขนสัตว์, เชื้อรา) มากเกิน
ไป เช่น เจอเกสรดอกไม้ คนแรกรู้สึกหอม ไม่เป็นอะไร แต่อีกคนจามแล้วจามอีก เพราะมีภูมิคุ้มกันมาก คือไวมากไป
ภูมิคุ้มกันบางอย่างก็ทำลายเซลล์ตัวเอง เรียกว่า ออโตอิมมูน (autoimmune) เรียกง่าย ๆ ว่า โรคภูมิแพ้ตัวเอง
ปกติภูมิคุ้มกันจะต่อต้านและทำลายสิ่งแปลกปลอม แต่คนเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเอง ระบบภูมิคุ้มกัน จะจำเซลล์ตัวเองไม่ได้
จึงทำลายตัวเอง ทำให้มีผลต่ออวัยวะหลายระบบ เช่น โรคเอสแอลอี (SLE) โรคเอไอแอลดี (AILD)

มีวิธีกระตุ้นภูมิคุ้มกันโดยไม่ต้องรอให้เป็นโรคได้หรือไม่
ได้ครับ การฉีดวัคซีนคือการกระตุ้นภูมิคุ้มกันที่อาศัยหลักการทำงานของภูมิคุ้มกัน โดยการนำเชื้อโรคที่ทำให้ตาย หรือ
ทำให้อ่อนแรงลง ฉีดเข้าไปในร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกัน ก็จะถูกกระตุ้นโดยวัคซีนให้ผลิตสารภูมคุ้มกันขึ้นคุ้มครองร่างกาย

เราจะมีวิธีสังเกตตนเองได้อย่างไรว่าภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง
อาจจะใช้ความอ่อนแอของร่างกายเป็นตัวสังเกต เช่น เจ็บป่วยง่าย โดนอะไรนิดหนึ่ง ก็มีปฏิกริยา และเป็นอยู่นาน
แบบนี้เป็นการสังเกตอย่างหยาบ ๆ ส่วนทางแพทย์ ก็มีวิธีการตรวจเลือด วัดดูระดับภูมิคุ้มกันได้

เวลาเป็นแผลบางครั้งทำไมจึงเป็นหนอง
เมื่อร่างกายมีบาดแผล เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล เม็ดเลือดขาวที่ประจำการอยู่แล้ว จะวิ่งเข้ามาจับเชื้อโรคกิน
พอกินมาก ๆ เม็ดเลือดขาวก็แตก และตาย กลายเป็นเศษขยะ เม็ดเลือดขาว ตัวอื่นมาเห็นขยะ ก็รีบเข้ามากิน ก็แตกและ
ตายอีก กลายเป็นหนอง หนองสีขาว ๆ ที่เห็นคือซากเม็ดเลือดขาวที่ตายนั่นเอง

บางครั้งจะรู้สึกบวม แดง ร้อน ที่บาดแผล เป็นเพราะอะไร
เม็ดเลือดขาวเวลาตายจะมีเม็ดเลือดขาวตัวอื่นมาเก็บ เพื่อนำสารต่าง ๆ ให้เข้าไปอยู่ในเซลล์ใหม่ ที่ผลิตขึ้น แต่บางครั้ง
มันตายเยอ ะตัวอื่นมาเก็บไม่ทัน ระหว่างตาย ก็หลั่งสารออกมา สารบางตัว ก็เป็นกรด จึงรู้สึกร้อน ส่วนที่บวมก็เพราะ
ปริมาณเซลล์ตรงนั้นเยอะ และแดงก็เพราะมีเลือดไหลเข้ามาเยอะ หรือที่เรียกว่า อักเสบ

คนไข้ที่เป็นมะเร็ง เพราะภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงใช่หรือไม่
ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคมะเร็งเป็นอย่างมาก ในคนปกติทั่วไป เมื่อมีเซลล์ในส่วนใด
ส่วนหนึ่งภายในร่างกาย เริ่มกลายพันธุ์ เพื่อก่อตัวเป็นมะเร็ง ระบบภูมิคุ้มกัน จะทำหน้าที่ขจัดเซลล์ที่กลายพันธุ์นั้นทิ้ง
เสีย ก็ปลอดพ้นจากการเป็นมะเร็ง แต่ในคนที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วยเอดส์ หรือผู้สูงอายุ เซลล์ที่กลายพันธุ์
ไม่ถูกระบบภูมิคุ้มกันทำลาย ก็จะกลายเป็นมะเร็งได้ เมื่อก่อตัวเป็นมะเร็งแล้ว เซลล์มะเร็งสามารถอำพรางตัวเอง ทำให้
ระบบภูมิคุ้มกัน ในส่วนที่ทำหน้าที่ ต่อต้านและทำลายผู้บุกรุกนั้น เข้าใจผิดว่าเซลล์มะเร็งคือ เซลล์ปกติของร่างกาย
จึงเฉย ๆ ไม่มีการทักทายหรือเข้าไปทำลายแต่อย่างใด ปล่อยให้เซลล์มะเร็งแพร่กระจาย จนเป็นอันตรายต่อร่างกาย

มีโรคใดที่เป็นแล้วทำลายภูมิคุ้มกันหรือไม่
โรคที่ทำลายภูมิคุ้มกันที่รูจักกันดีคือ โรคเอดส์ (AIDS) เมื่อสิ่งแปลกปลอมคือเชื้อ เอชไอวี (HIV) เข้าสู่ร่างกาย ระบบ
ภูมิคุ้มกันจะสร้างสารออกมาต่อต้าน เรียกว่า แอนติ-เอชไอวี (anti-HIV) แต่เนื่องจากเชื้อเอชไอวี มีความเหนียวแน่น
คงทน นอกจากจะไม่ถูกทำลายแล้ว ยังสามารถเจริญงอกงาม ในร่างกาย และไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า ภูมิคุ้ม
กันบกพร่อง  เมื่อระบบป้องกันภัยถูกทำลาย หากมีสิ่งแปลกปลอมรุกราน ร่างกายจึงไม่สามารถ จะต่อต้านได้
คนที่เป็นโรคเอดส์จึงอ่อนแอ หากดูแลสุขภาพตนเองไม่ดี จะเจ็บป่วยได้ง่าย และสุดท้ายจะเสียชีวิตด้วยโรคจู่โจมอื่น ๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ค้นหา